Monday, December 14, 2009

อนาคตทาง IT ของไทย กับสถิติคำค้นหายอดนิยมของกูเกิล

ได้อ่านข่าววันนี้ว่าสถิติคำค้นหายอดนิยมในไทยจากกูเกิลแล้วน่าเป็นห่วงอนาคตการใช้งานอินเตอร์เน็ต หรืออนาคตทางไอทีของไทยมาก ดูจากคำยอดนิยมข้างล่างแล้วคุณจะเห็นว่าคำที่ค้นมันค่อนข้างจะไม่พัฒนาความรู้ของชาติเลย ถ้าขืนเยาวชนคนรุ่นใหม่ของประเทศยังค้นหาแต่คำพวกนี้อยู่ อนาคตชาติมีปัญหาแน่ๆ แล้วต่อให้ใช้ ADSL 10,100 เมกกะบิต หรือจะ 3G, 4G มันก็ไม่ช่วยอะไรตราบใดที่เยาวชนยังไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง

ยอดนิยม
1. เกมส์
2. hi5
3. youtube
4. hotmail
5. ดูดวง
6. ฟังเพลง
7. 4shared
8. ดูหนังออนไลน์
9. ผลบอล
10. รถมือสอง

ดาวรุ่งพุ่งแรง
1. 4shared
2. ดูหนังออนไลน์
3. ความคิด
4. gat-pat
5. dictionary อังกฤษไทย
6. the star 5
7. ทํานายฝัน
8. af6
9. การเปลี่ยนแปลง
10. ไข้หวัด

จิตและกำลังใจ
1. แสกนกรรม
2. ตั้งชื่อมงคล
3. ดวง 2552
4. ทำนายความฝัน
5. กุมารทองสยาม
6. พระพิฆเนศ
7. ธรรมะออนไลน์
8. แม่ชีทศพร
9. หลวงปู่ทวด
10. อาจารย์หนู

Tuesday, December 1, 2009

โฆษณาในโรงหนัง มีมากเกินไปแล้ว

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้เข้าไปดูหนัง 2012 ตามกระแสนิยม หลังจากที่ไม่ได้เข้าโรงหนังมาสัก 4 ปีแล้ว เพราะขี้เกียจรอนานกว่าจะมีให้เช่า ปกติผมมักจะรอให้หนังออกโรงจนกลายมาเป็นหนังแผ่นให้เช่า จึงจะไปเช่ามาดู แต่ว่ามันต้องรอ 3 เดือนกว่าหนังเรื่องดังๆจะมีให้เช่า ผมไม่นิยมซื้อแผ่นผีหนังชนโรง เพราะมันแอบถ่ายมา คุณภาพของภาพและเสียงแย่มากๆ ยอมรอหน่อยแล้วดูหนังคุณภาพดีดีกว่า

ที่น่าโมโหก็คือ หนังรอบ 12.50 ผมเข้าไปในโรง 12.50 เป๊ะ อุตส่าห์โทรมาจองตั๋วล่วงหน้า แต่เจอหนังโฆษณาไปมากถึง 25 นาทีกว่าหนังจะเริ่มฉาย แล้วมันกดรีโมทเปลี่ยนช่องแบบทีวีที่บ้านไม่ได้ ก็ต้องทนดูโฆษณากันไปจนจบ เสียตังค่าตั๋วหนังแล้วยังต้องมาเสียเวลาอีก เจอแบบนี้เข้าผมเลิกเข้าโรงหนังไปอีกหลายปีแน่ๆ ไม่ได้เรื่องเลย กลับไปดูหนังแผ่นอย่างเดิมดีกว่า เข้าใจว่าโฆษณามันเป็นรายได้อีกทางของโรงหนังแต่นาน 25 นาทีนี่มันเกินไป เอาเปรียบเกินไป รับไม่ได้จริงๆ ใครเห็นด้วยก็ช่วยกันประท้วงหน่อยเถอะ

ถ้าอีกหน่อยมีระบบให้ดาว์นโหลดหนังชนโรง เรื่องละ 100 บาทเพื่อมาดูเองได้ที่บ้าน โดยระบบป้องกันไม่ให้มีการทำสำเนาหนังเก็บไว้ และให้ดูได้แค่ 1 วันเท่านั้น ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่จะยอมจ่ายเงินเลย และธุรกิจโรงหนังก็จะค่อยๆลดความนิยมลงไป แนวโน้มนี้มีคนมองๆอยู่หลายๆคนแล้ว อีกไม่นานคงจะเป็นจริง

ดูหนังแผ่นอยู่กับบ้านนั้นสบายและสะดวกกว่าด้วยประการทั้งปวง ดูได้ทั้งบ้าน ดูเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องไปฝ่ารถติด ไม่เสีัยเวลาเดินทาง ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋ว ค่าเช่าหนังแผ่นละ 20 บาทเองดูทั้งบ้านเลย ที่บ้านมีโฮมเธียเตอร์กับทีวีจอใหญ่อยู่แล้ว ระบบภาพกับเสียงก็น้องๆโรงหนังเหมือนกันนั่นแหละ

ขอประนามการเอาเปรียบคนดูหนังอย่างน่าเกลียดของโรงหนัง!

Thursday, November 26, 2009

ในที่สุดผมคงได้กระเทียมไทยกลับคืนมา.............มั้ง

วันนี้ 26พย เพิ่งดูข่าวต่างประเทศบอกว่าตอนนี้ที่เมืองจีนกระเทียมขึ้นราคา 4-10 เท่า ทำให้ราคาขึ้นมาสูงมากจนเกิดการกักตุนกระเทียมในหลายมลฑล นี่นับเป็นข่าวดีของชาวไทยเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมากระเทียมจีนหัวโตๆราคาถูกเข้ามาตีตลาดกระเทียมไทยจนยับเยิน กระเทียมไทยโลละ 70 บาท กระเทียมจีนราคาไม่เกินโลละ 35 บาท ร้านอาหารหลายร้านเลยหันไปใช้กระเทียมจีนกันหมด แต่ก็มีร้านอาหารไทยหลายร้านที่รู้จักยังยืนยันที่จะใช้กระเทียมไทยต่อไปแม้จะราคาแพง เพราะมันหอมกว่า ทำอาหารอร่อยกว่า

หวังว่าปีนี้กระเทียมจีนคงหายไป และเราได้กินกระเทียมไทยหอมๆกันอีกครั้ง

ล่าสุด 13 ธค 52 ราคากระเทียมไทยแกะกลีบ ที่ตลาดมีนบุรี กิโลละ 110 บาท แพงมากไปแล้วล่ะ

E war กับยุคอินเตอร์เน็ต




คุ้นๆกับคำนี้หรือยังครับ E War?

ถ้าไม่คุ้นล่ะก็ ลองดูเหตุการณ์ต่อไปนี้ เมื่อช่วงกลางปีนี้ระบบอินเตอร์เน็ตของเกาหลีใต้ช้าลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เว็บไซต์ชื่อดังหลายที่โดนถล่มแบบ DOS จนเว็บไซต์หยุดทำงานไปเลย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าทางอเมริกาก็โดนด้วยบางส่วน ขนาดเข้าไปกู้ระบบกลับมาแล้วก็โดนถล่มจนล่มกลับไปอีก ใช้เวลา1-2วันกว่าจะแก้ปัญหาได้โดยการตัดการติดต่อจากคอมพิวเตอร์จำนวนมากเหล่านั้นเพื่อไม่ให้เว็บเซิร์ฟเวอร์โดนถล่มจนล่มอีก ความเสียหายทางด้านชีวิตคงไม่มี แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจก็คงมีมากพอสมควร เพียงแต่เขาไม่เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง มันเป็นความลับของชาติเลยนะนั่น ข่าวที่ออกมาเห็นว่าผู้ต้องสงสัยรายสำคัญน่าจะมาจากทางเกาหลีเหนือ

การทำสงครามบนโลกอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องใหม่ เขาทำกันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่สมัยก่อนจะเป็นการโจมตีระดับเล็กๆเช่นการโจมตีบางบริษัท หรือหน่วยงานรัฐบางแห่ง เ็ป็นการโจมตีในวงแคบ ข่าวเลยไม่ค่อยแพร่ออกมา หรืออย่างหลายๆเว็บไซต์ดังๆก็โดนพวกแฮคเกอร์เข้าไปเปลี่ยนเว็บไซต์หน้าแรกให้เป็นข้อความประจานให้ขายหน้า

การทำสงครามทางอินเตอร์เน็ตทำได้ง่ายๆ ลงทุนน้อยมาก ใช้แฮคเกอร์มือดีๆไม่ถึง 10 คนก็สามารถถล่มประเทศเป้าหมายได้แล้ว เรียกว่าผลตอบแทนสูงมากๆ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างน่ากลัวทีเดียว วิธีการก็ไม่ยากอะไร แต่ปล่อยไวรัส worm ให้เข้าไปฝังตัวในคอมพิวเตอร์ต่างๆทั่วโลกให้มากๆเข้าไว้ ให้ได้สัก 7-8 หมื่นเครื่อง โดยส่ง email ออกไปหาคนนับล้านในเน็ตว่ามีไฟล์วีดีโอเด็ดๆให้ดู หรือมีโปรแกรมแจกฟรีให้ใช้ พอคนหลงดาวน์โหลดไปลองก็ติดเชื้อแล้ว พอถึงวันโจมตีก็ออกคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ที่ติดเชื่อส่ง request จำนวนมากๆไปยังเว็บไซต์เป้าหมายพร้อมๆกัน เท่านี้แหละเดี้ยงกับเป็นแถบๆ

ที่อยากพูดเรื่องนี้เพราะปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆจำนวนมากพึ่งพาระบบอินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจ ถ้าอินเตอร์เน็ตมีปัญหาก็อาจกระทบการทำงานของธุรกิจได้ ผู้จัดการด้าน IT ควรพิจารณาความเสี่ยงข้อนี้และหาวิธีรับมือโดยเขียนไว้ในแผน BCP ของบริษัทเลยว่าถ้าเกิดปัญหาในระบบอิืนเตอร์ เราจะทำธุรกิจต่อไปอย่างไรโดยมีผลกระทบน้อยที่สุด แล้วเมื่อระบบอินเตอร์เ้น็ตกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เราจะเอารายการต่างๆทางธุรกิจที่เกิดขึ้นป้อนเข้าไปในระบบอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าย IT ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า ยิ่งแนวโน้ม IT ปัจจุบันจะก้าวไปสู่ cloud computing กันมากขึ้น ความเสี่ยงเรื่องสงครามอินเตอร์เน็นจะมากขึ้นไปด้วย เตรียมรับมือไว้ได้เลย

รูปประกอบเป็นเรื่องของ E bomb ที่เป็นส่วนหนึ่งของ E war และอำนาจการทำลายล้างสูงมาก ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีหลัง

Sunday, November 15, 2009

ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณในอินเตอร์เน็ต

พวกเราใช้อินเตอร์เน็ตกันมาตั้งเยอะ เคยสงสัยไหมครับว่ามันมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเองมากน้อยแค่ไหนในเน็ต ผมเคยถามคำถามนี้กับตัวเอง และก็ลองหาคำตอบดูโดยค้นจากกูเกิลโดยใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นชื่อผม หรือนามแฝงที่ใช้ในเน็ต หรือคำต่างๆในกระทู้ที่ pantip.com ที่ผมเขียนไว้ ปรากฏว่าเจอข้อมูลของตัวเองเพียบเลย ข้อมูลบางอย่างไม่ได้ตั้งใจใส่ลงไป แต่หน่วยงานหรือเว็บไซต์อื่นๆที่ผมเคยไปลงทะเบียนไว้เขาก็นำมาใส่ไว้ในเน็ตหมดเลย

ลองป้อนคีย์เวิร์ดต่อไำปนี้ลงในกูเกิลดูครับ โดย copyจากข้างล่างไป paste ใส่ googleให้ค้น จะเจอเรื่องเกี่ยวกับผมเพียบเลย

คนปากช่อง site:www.pantip.com
ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับแอร์ มากันประจำ
คนปากช่อง super yellow bird
คนปากช่อง DIY

ว่างๆก็ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณดูสิ ใช้คีย์เวิร์ดหลายๆอันที่เกี่ยวกับตัวเอง แล้วดูสิว่าอินเตอร์เน็ตจะรู้จักคุณขนาดไหน เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้ว คุณอาจจะแปลกใจเลยว่าอินเตอร์เน็ตมันรู้จักคุณมากกว่าที่คิดเลย แต่ถ้าค้นไม่เจออะไรเลย บางทีคุณอาจจะเป็น nobody บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็แล้วว่าคุณอยากจะให้มีข้อมูล หรือเผยแพร่ความรู้กับคนอื่นๆในเน็ตมากไหม ถ้าคุณเผยแพร่ข้อมูลไว้มาก กูเกิลก็จะค้นเจอมาก

Saturday, November 14, 2009

รายงานการไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า Toyota Green trekking ครั้งที่ 2 ที่ชะอำ












ผมมีโอกาสไปร่วมงาน Toyota Green trekking ครั้งที่ 2 ที่ชะอำ เลยเอาจดหมายที่คุยกับเพื่อนๆที่ไปด้วยมาเล่าให้ฟังครับ

สวัสดีเพื่อนๆร่วมทริปทุกคนครับ

ผมยุทธ กับน้องเน็ตที่นั่งในรถคันที่ 1 นั่นแหละครับ คงจำกันได้
ได้ไป เที่ยวและทำกิจกรรมร่วมกันครั้งนี้สนุกครับ โดยเฉพาะกับอาหารเย็นที่อร่อย และคอนเสิร์ตตอนค่ำ มาตอบเมลล์ช้าไปหน่อยเพราะกลับมาถึงบ้านเย็นวันอาทิตย์ 8 พย พอเช้าวันจันทร์ก็เจอไฟลท์ TG634 7โมงเช้าไปเกาหลีต่อ อยู่ที่เกาหลี 5วันถึงกลับ นี่ก็เขียนเมลล์ที่โรงแรมตอนวันที่ 12พย 4 ทุ่มกว่าๆ หลังจากกลับจากไปเดินเล่นที่เมียงดอง อากาศหนาวชมัด แล้วเราดันเอาเสื้อกันหนาวอย่างบางไปอีก เพราะพยากรณ์อากาศบอก 18-20 องศา พอมาถึงเกาหลีแล้วตอนกลางคืนไปเดินเล่นมันเย็นซะ 5-6 องศาได้มั้ง เสื้อเอาไม่อยู่เลย ลมพัดแรงๆมาทีนี่แทบจะแข็งอยู่บนถนนเลย

กลับมาเรื่องทริปต่อ ผมมาถึงจุดนัดพบที่ RCA ตอน 6.15 เพราะเมลล์ที่ได้รับครั้งแรกบอกว่าเจอกัน 6.30 มาถึงมีคนรออยู่ก่อนแล้ว 1 คน (หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วถึงได้อ่านเมลล์ฉบับหลังจากทีมงานว่าเปลี่ยนเป็น เจอกัน 7.00) รอกันไปเรื่อยๆ คนก็ทะยอยมากัน จน 7.20 จึงเริ่มตั้งโต๊ะเช็คชื่อทุกคน พร้อมแจกเสื้อยืด รถออกตอน 8 โมงเช้าโดยมีพี่อ้อยชวนคุยไปตั้งนาน พอท้องชักร้องก็มีอาหารว่างแจกรองท้องไปก่อน นั่งหลับๆตื่นๆไปฟื้นอีกทีก็ร้านปลาทูก็ 11 โมงกว่าแล้ว รอสักพักก็ได้กินข้าวเที่ยงมื้ออร่อย เป็นอาหารทะเลซะด้วย ที่ประทับใจก็ตอนที่ผู้ร่วมงานฝ่ายโตโยต้ามาถึง เพราะกลุ่มผมกลุ่ม 2 นกกระแตแต้แว้ดได้ร่วมโต๊ะกับเจ้าหน้าที่โตโยต้าที่มาจากบ้านโพธิ์ ทำงานอยู่ในคลังสต็อคอะหลั่ย แต่ลืมชื่อไปแล้ว เขาคุยสนุกมาก คุยไป กินไป เพลินเลย กะพงทอดราดน้ำปลาอร่อยครับ ยำ3กรอบก็อร่อย ปลาทูทอดก็ดี อร่อยไปหมด

พออิ่มแล้วก็ขึ้นรถบัสไปเข้าศูนย์ศึกษา ธรรมชาติเพื่อเริ่มปลูกป่ากัน หลังจากนั่งรอในเต้นท์ ทำพิธีเปิดงาน ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกแล้วก็เริ่มแยกกลุ่ม แบ่งตามสี แล้วเข้าไปหาความรู้ด้านในตึกซึ่งเจ้าหน้าที่ของ WWF บรรยายให้ความรู้ได้ดี แถมต้องเก็บข้อมูลเตรียมตอบคำถามเอาคะแนน เลยจดกันยิกๆเลย ลูกผมยังจดได้ตั้ง 6 หน้า ที่เด็ดสุดในอาคารคงเป็นตอนเข้าไปดูวีดีโอกิจกรรมของโตโยต้าในห้องแอร์เย็น ถูกใจมาก เป็นวีดีโอที่น่าสนใจจริงๆและทำให้ได้รู้ว่าโตโยต้าทำอะไรไปบ้าง งวดหน้าไปเที่ยวแปดริ้วจะหาโอกาสไปดูป่า 1แสนต้นที่บ้านโพธิ์ หรือถ้าโตโยต้ามีการจัดให้เยี่ยมชมโรงงานก็อยากไปดูจริงๆ เพราะโตโยต้าขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องกระบวนการปรับปรุงการผลิตและคุณภาพอย่างต่อเนื่องจนได้เป็นอันดับ 1 ของโลกในตอนนี้ หลังจากดูวิดีโอจบแล้วก็ออกมาตั้งหลักข้างนอก รับกระดาษคำตอบแล้วก็ตอบคำถามทั้ง 10 ในเวลาแป็ปเดียว เพราะทุกคนตั้งใจฟังตอนอยู่ในอาคารมาดีมาก

จาก นั้นก็พาไปดูเส้นทางเดิน trekking ศึกษาธรรมชาติ แจกกล้องส่องนก แล้วก็แยกย้ายกันไปปลูกต้นไม้ กลุ่มสีชมภู นกกระแตแต้แว้ด จุ๊กกรูของผมก็เดินข้ามถนนไปปลูกต้นไม้ที่อยู่ริมถนนเลย เขาไม่ได้บอกว่าต้นอะไร ถามใครก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือผมกับเน็ตปลูกไป 3 ต้นและจำไว้แล้วว่าอยู่ตรงไหน แถมถ่ายรูปเป็นหลักฐานด้วย ต่อไปเวลาที่พาครอบครัวไปเที่ยวหัวหิน ซึ่งไปอยู่แล้วปีละ 2-3ครั้ง ผมจะต้องพาไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาตินี่แน่ๆ เพราะจะต้องกลับไปดูเจ้า 3 ต้นที่ปลูกมากับมือว่าเป็นอย่างไรบ้าง น้องเน็ตเองก็จะต้องตามไปดูแลต้นไม้เหล่านี้ไปอีกเป็นสิบๆปี และแน่นอนว่าน้องเน็ตจะถ่ายทอดเรื่องนี้ต่อไปให้ลูกของเขาในอนาคตเช่นกัน เหมือนกับที่ผมกำลังสอนเขาอยู่ในตอนนี้ ก็อย่างที่ผมบอกทุกคนตอนเปิดงานที่เต้นท์แหละครับว่า เรื่องการปลูกป่า อนุรักษ์ธรรมชาตินั้นเราต้องทำต่อเนื่องไป หยุดไม่ได้ ต้องส่งต่อจิตสำนึกนี้ให้คนรุ่นต่อไป ส่งต่อไปให้คนรอบตัวเราด้วย ยิ่งเราสามารถส่งผ่านจิตสำนึกที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมต่อไปมากเท่าไร โลกเราจะดีขึ้น สิ่งที่โตโยต้ากับกรีนเวฟและพวกเราลงทุน ลงแรงไปก็จะไม่สูญเปล่า ผมเคยปลูกต้นไม้มาแล้วสมัย 25 ปีที่แล้วตอนเรียน ม4 ตอนนั้นมันเป็นต้นกล้าเล็กๆสูงไม่ถึง 6 นิ้ว เดี๋ยวนี้พอผมผ่านไปที่โรงเรียนเดิมทีไร ผมจะพาน้องเน็ตไปบอกว่านี่เป็นต้นไม้ที่พ่อเคยปลูกไว้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว และทุกวันนี้มันเป็นต้นที่ใหญ่มากๆ สักวันหนึ่งเน็ตจะต้องทำแบบเดียวกัน และเขาก็เพิ่งเริ่มปลูกต้นไม้ไป 3 ต้นตอนทริปที่ชะอำนี่เอง อีก 20-30ปีข้างหน้าเน็ตคงกลับไปที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติที่ชะอำเพื่อบอกกับลูกเขา แบบเดียวกัน

พอ ปลูกป่าเสร็จ ก็แยกย้ายกันขึ้นรถ กลุ่มผมขึ้นรถตู้ไปที่จุดปล่อยตัวเริ่มเดินศึกษาธรรมชาติ กลุ่มสีชมภูไปถึงเร็วไปมากๆ เลยต้องรออยู่ที่จุดปล่อยตัวตั้งนาน 20กว่านาที ตอนนี้เวลาว่างมาก เลยนั่งชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ผมในฐานะเป็นคนสูงอายุในกลุ่ม เลยโดนเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่ม คอยถือใบคะแนนกับส่งคำตอบให้กรรมการตลอดการแข่ง ด่านแรกเจอกับต่อภาพต้นแสมในเวลา 1 นาที ทีมของเราทำเสร็จทันเวลาพอดี ด่านนี้ได้ความรู้เรื่องต้นแสมเพียบเลย จำแม่นล่ะ

จาก นั้นก็เข้าด่าน 2 ระหว่างทางต้องหาตัวอักษรที่ซ่อนไว้ระหว่างทางด้วย แถมเจอกับเกมถอดรหัสตัวเลขอีก เดินข้ามสะพานแขวนสวยๆไปแล้วไต่ขึ้นหอดูนก ไปฟังเสียงนก 4-5 ตัวมั้ง แล้วทายเสียงที่ได้ยิน เสียงที่ให้ทายเป็นเสียงนกกระแตแต้แว้ด (ชื่อทีมของเราเอง) ซึ่งเสียงมันมีเอกลักษณ์จำง่ายดี แล้วที่ศูนย์นี้ได้ยินเสียงมันเยอะมาก พอรู้จักเสียงมันแล้วคราวนี้รู้เลยว่ามันอยู่กันเยอะ ได้รู้จักเสียงนกอีกหลายอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเด็กๆอย่างน้องเน็ตก็จำแม่น และทายถูกอีกตามเคย

พอ ทายเสร็จแล้วก็ไปเข้าด่าน 3 ให้ดูรูปปลาตีน แล้วเรียงจากเล็กไปหาใหญ่ 3 ภาพ จากทั้งหมด 9 ภาพ คราวนี้ยากขึ้นแฮะมันรูปปลาตีนทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูก แต่ในที่สุดทีมเราก็เลือกถูก 2 ใน 3 ด่านนี้ก็ทำให้เรารู้จักปลาตีนมากขึ้นไปอีก

ระหว่างทางเดินจากด่าน 3 ไป 4 นี่เจ้าหน้าที่นำทางก็ชวนคุยไปตลอดทาง สอนให้ดูต้นไม้ ดูปูเปี้ยว แมงกระพรุน สอนให้ชิมต้นไม้ที่ใบเล็กๆแต่กินได้ เค็มๆดี ชาวบ้านเอาไปทำอาหารกิน แต่ลืมชื่อไปแล้ว จากนั้นก็ให้ลองเด็ดใบแสมมาลองชิมดู มีคนไม่รู้หลายคนใส่ปากเคี้ยวซะแหลกเลยจึงไม่รู้รสอะไร จนน้องจาก WWF ต้องบอกว่าอย่าเคี้ยว ให้เอาลิ้นแตะด้านบนของใบ แล้วแตะด้านล่างของใบดู เราถึงรู้ว่ามันขับเกลือออกมาทางใต้ใบ เพราะเค็มปะแล่มๆดี พอเข้าด่านที่ 4 คำถามก็คือให้ปิดตาแล้วชิมใบไม้เพื่อตอบว่าเป็นใบอะไร ผมเป็นคนโดนปิดตาเอง เอาลิ้นเลียใต้ใบก็รู้แล้วว่าใบแสม เพราะมันเค็มๆ ไม่ยากเลย และได้ความรู้ดี

พอ หมดด่านนี้ก็จบเกมส์ ส่งใบคำตอบคืนกรรมการไป เกือบลืมไปว่าไอ้ใบคำถามเกมส์อัจฉริยะนั่นยากมากนะ เล่นให้ข้อความมาแล้วหาตัวเลย 4 หลักให้ได้ เดินคิดไปตลอดทางยังคิดไม่ออกเลย ดีว่าได้ลูกทีมทุกคนช่วยๆกันระดมสมองจนได้คำตอบออกมา แต่ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ผมว่าคงไม่ถูกเพราะทีมเราไม่ได้สักรางวัล จบเกมส์แล้วก็เดินไปบริเวณสถานที่จัดงานตอนเย็นๆ วิวสวยดี แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็โดนเรียกขึ้นรถ พอขึ้นรถได้แอร์เย็นๆก็ดีขึ้น แถมน้องทีมงานคนตัวเล็กๆที่ประจำอยู่รถคันที่ 1 ก็ลำเลียงน้ำมาแจกจ่ายทันที ไม่ให้หิวน้ำเลย พอน้องเขานับดูแล้วว่าครบคนก็จัดแจงออกรถ กลับโรงแรมกัน

พอ เช็คอินเข้าโรงแรม อาบน้ำ แต่งตัวแล้ว ก็ลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ตอน 17.30 ตามนัด แต่ก็มารอกันไป รอกันมา กว่ารถจะออกได้ก็ปาเข้าไป 18.10 แล้ว เสียเวลารอนานไปหน่อย อันนี้เป็นนิสัยที่แก้ยากของบางคนจริงๆ และอยากให้ช่วยๆกันแก้ด้วย เพราะมันเสียเวลาของทุกคนบนรถมากๆ ถ้ายังไม่ปรับปรุงเราอาจต้องจัดกรีนทริปเรื่องส่งเสริมการตรงต่อเวลาในอนาคต รถบัสทั้ง 2 คันติดเครื่องรอคนมาสาย 40 นาทีนั่นเผาน้ำมันไปเท่าไร ปล่อยก๊าซพิษออกมาเท่าไร เรามาทริปรักษาสภาพแวดล้อมนะครับ ถ้าเป็นบริษัทฝรั่งอย่างที่ผมอยู่แล้วมาสายขนาด 40 นาทีให้คนทั้งคันรถรอนี่แค่คำว่าขอโทษไม่พอนะครับ หลังงานมีรายการอบรมอย่างแรงอีกต่างหาก ที่ต้องบอกตรงๆไม่อ้อมค้อมนี่เพราะอยากให้ปรับปรุงตัวกัน ไปเที่ยวด้วยกันจะได้สนุก ไม่ต้องทนรอ คนไทยขี้เกรงใจเลยไม่พูด ก็ทนๆกันไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เราต้องเปลี่ยนแปลง

พอออกรถแล้วใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็มาถึงที่จัดงาน มืดพอดี และมีกลุ่มอื่นมาถึงก่อนแล้วและเริ่มกินอาหารกันอยู่ พวกรถทัวร์ไปถึงทีหลัง กำลังหิวก็ปรี่เข้าไปตักอาหารเลย อาหารอร่อยครับ แต่พวกของย่างเขาย่างไม่ทันจริงๆทั้งกุ้ง หอย ปลาหมึก หมูย่าง รอกันคิวยาว เลยต้องไปหาอาหารอย่างอื่นกินไปก่อน ต้องยืนกินเพราะไม่มีโต๊ะให้ ต่างคนก็ต่างกินไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะยังไม่รู้จักกันดี ถ้าจะให้ดีผมว่างานหน้า น่าจะให้นั่งโต๊ะกินจะดีกว่านะครับ เข้าใจว่าอยากจัดงานออกมาแนวค็อกเทลปาร์ตี้ให้กินไป คุยไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกันเลยไม่ได้คุย กินอย่างเดียว แล้วไม่มีกิจกรรมอะไรที่ให้ทำร่วมกันเพื่อให้รู้จักกันมากขึ้น ลักษณะงานจึงเป็นต่างคนต่างไป คู่ใครคู่มัน ปลูกต้นไม้ กินข้าว ฟังเพลง จบ ฝากไว้ให้ทีมงานด้วยครับ

พอเริ่ม เล่นคอนเสีร์ตของเป็ก ผลิโชค ผมว่าน้องเขาก็พยายามให้ความบันเทิงเต็มที่นะครับ แต่เพลงที่เขาร้องผมไม่รู้จักเลยแฮะ รู้จักอยู่เพลงดังอยู่เพลงเดียวของเขาที่เอามาร้องตอนหลังๆ ทำให้ช่วงแรกๆมันดูกร่อยๆไปหน่อย เพราะผู้ฟังก็ฟังจริงๆ ไม่มีส่วนร่วมมากนัก พอร้องไปสักพักก็เริ่มมีปรบมือเข้ามาบ้าง ตอนหลังเป็กเดินลงมาร้องข้างล่างก็สร้างความคึกคักได้มากขึ้น อาจเป็นอย่างที่เป็กบอกไว้จริงๆว่าสงสัยกลุ่มผู้ฟังจะอายุเกินไปหน่อย ในระหว่างที่เป็กร้องเพลงที่ผมไม่รู้จักไป ผมก็ถือโอกาสเข้าไปเดินชมบ้านที่ชั้น 2 ต้องบอกว่าเป็นบ้านที่สวยมากๆจริงๆ แม้จะอายุนานหลายสิบปีแล้ว แต่ความเรียบง่ายของบ้าน ความสวยสง่าแบบเคร่งขรึมยังมีมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย สมแล้วที่ทีมงานกรีนเวฟบอกว่าขออนุญาตมาจัดงานที่บ้านหลังนี้ยากมาก คุ้มค่าที่ได้มาชมจริงๆ

พอ หมดช่วงของเป็กก็เป็น แคลลอรี บลา บลา ต้องบอกว่าป็อปเป็นคนอ้วนที่ร้องเพลงหวานได้เพราะมากๆ และเสียงดีอย่างไม่น่าเชื่อ คุยบนเวทีสนุก แล้วมีการรับส่งมุกระหว่างเพื่อนๆได้ดี สร้างความเฮฮาให้กับผู้ชมได้ดี ที่ประทับใจอีกคนคือคนเป่าแซกโซโฟนที่เป่าได้เสียงใส พริ้ว ได้อารมณ์จริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เป่าแซกเริ่มต้นเพลงขอบใจจริงๆของเบิร์ด ที่เสียงแซกมันพริ้วมีชีวิต ชีวาได้อารมณ์มาก เพลงทุกเพลงของวงนี้ที่เอามาร้องเพราะโดนใจจริงๆ ยิ่งฟังริมทะเลด้วยแล้วต้องบอกว่าเข้ากับบรรยากาศมาก ยกนิ้วโป้งให้ 10 นิ้วเลย จนมาถึงเพลงเรียกฝนที่ร้องไปได้สักพักฝนก็มาตามเนื่อเพลงเลย เพลงเขาขลังๆจริงๆ (ใครปักตะไคร้เนี่ย) คราวนี้ก็วิ่งหนีฝนกันสนุกสนานเข้ามาใต้บ้านกันล่ะ ยืนดูฝนตกสักพัก คราวนี้สมาชิกก็หันไปเจอพี่แอม พี่ตุ๊ก นั่งรอร้องเพลงอยู่เป็นเหยื่อให้ถ่ายรูป ก็ได้ถ่ายกันสนุกสนาน พี่แอม พี่ตุ๊กยิ้มกันเหงือกแห้งเลย แต่ก็ยังยิ้มสู้ไม่หยุด

เวลาผ่าน ไป 15-20นาที คราวนี้ทีมงานแสงเสียงเริ่มขนเก้าอี้จากข้างนอกเข้ามาด้านใน นึกว่าจะให้นั่งแก้เมื่อย ที่ไหนได้เขาเล่นย้ายเวทีเข้ามาเล่นใต้ถุนบ้านเลย ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็สามารถตั้งระบบเสียงให้พอเล่นพลงได้แล้ว เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รวดเร็วและทันการณ์มาก แคลลอรี บลา บลา ก็ต่อด้วยเพลงฝน ของเบิร์ดกะฮาร์ท ที่เข้ากับบรรยากาศดีมากๆ ระหว่างที่ร้องเพลงไป ทีมงานก็ทะยอยขนเครื่องดนตรีเข้ามาจนหมด ก็พอดีกับที่แคลรอลี บลา บลา ร้องเพลงจนครบ ก็ถึงคิวของพี่แอม กับพี่ตุ๊ก ซึ่งตามโปรแกรมเดิมผมเข้าใจว่าต้องขึ้นมาร้องทีละคน คนละ 6-7 เพลง แต่ด้วยฝนที่ตกทำให้เปลี่ยนแผนกันหมด กลายเป็นทั้ง 2 คนขึ้นมาร้องเพลงร่วมกัน แจมกัน ซึ่งก็ให้ความสนุกสนานกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี เสียงของทั้ง 2 คนดีร้องเพลงเพราะมากๆ ทั้งการรับส่งมุกก็สร้างความเฮฮาได้เป็นอย่างดี เพลงที่ร้องมีทั้งเพลงช้า เพลงมันส์ เพลงเร็ว ขอจันทร์ คนพิเศษ ........นึกชื่อเพลงที่พี่แอมร้องไม่ออกแฮะ แต่ชอบเพลงของทั้ง 2 คนมาก ผมฟังมาตั้งแต่ชุดแรกของเขา และก็ฟังมาทุกชุดเลย ฟังร้องเพลงสดเพราะได้อารมณ์ดีกว่าฟังจากแผ่น CD มาก

เสียดายที่ พี่ตุ๊ก พี่แอม ร้องได้ไม่กี่เพลงก็ต้องจบลงอย่างไม่ค่อยจุใจนักตอนเวลา 4 ทุ่ม พี่แอมยังมีแรงเหลืออีกเยอะยังอยากร้องต่ออีก อันนี้เสียดายมากๆ เพราะอยากฟังเพลงของเขาเยอะๆ อุตส่าห์มาไกลจาก กทม ก็เพื่อ 2 คนนี้แหละ แต่เอาเถอะ มันถูกจำกัดด้วยฝนตก ได้ขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้ว ทีมงานทุกท่านก็๋พยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่จนจบงาน จากนั้นก็ทะยอยไปขึ้นรถกลับโรงแรม เข้านอนห้องใครห้องมัน

รุ่งเช้าวันอาทิตย์ปล่อยอิสระ กินข้าวเช้าแล้วไปเดินเล่น เช็คเอ้าท์ให้เสร็จก่อน 10 โมง รถจะออก 10 โมง และแล้วเราก็ออกช้ากว่ากำหนดอีกตามเคยเพราะใครบางคนมาช้าอีกนั่นแหละ รถออกเดินทางไปเพลินวาน บนรถก็มีการแจกอาหารว่าง แล้วตามด้วยคูปองเพลินวานให้อีกคนละ 100 บาท เยี่ยมจริงๆได้เดินเล่นแล้วช็อปปิ้งเล็กๆกันก่อนกลับอีก ที่เพลินวานวันนี้คนแน่นมาก ก็ดูมีชีวิตชีวาดี คนเดี๋ยวนี้จะถวิลหาความหลังครั้งเก่าๆกันมาก บรรดาที่เก่าๆอย่างตลาดน้ำ ตลาด 100ปี ตลาดสามชุก เพลินวานถึงได้รับความนิยมมาก ผมก็เป็นพวกชอบของเก่าๆแบบนี้เช่นเดียวกัน งานยากที่สุดของตอนช็อปปิ้งคือซื้ออะไรดีให้มันลงตัวกับคูปอง 100 บาทที่ได้มา ในที่สุดก็ไปจบที่ขนมปังหมูหยองก้อนละ 50 บาท(แพงอ่ะ ที่ตึกซันทาวเวอร์ตรงลาดพร้าว 35บาทเอง) กับขนมปังกรอบอีก 45 บาท ผัดไทอีก 35บาท เออ...ใช้คูปองหมดเสียที เดินเล่นต่อและก็กลับขึ้นรถได้

พอขึ้นรถมาแล้ว น้องทีมงานคนเดิมก็มานับจำนวนสมาชิกจนครบ แล้วจึงออกรถกลับ กทม กัน มีการสอบถามว่าใครจะจอดซื้อของฝากไหม ปรากฏว่าไม่มีใครต้องการ รถเลยวิ่งยาว จอดเข้าห้องน้ำหนเดียวตรงสมุทรสงคราม แล้ววิ่งถึง RCA ตอนบ่าย 3 จากนั้นก็เป็นการลาจากกันอย่างรวดเร็วจริงๆ เร็วกว่าขามาอีก พอทุกคนได้กระเป๋าก็เรียกแท็กซีกลับบ้านกันเป็นแถวเลย

ในที่สุดก็จบงานปลูกป่ากันเสียที แต่อย่าลืมนะครับว่าป่าที่โครงการปลูกไว้ในใจของพวกเราทุกคน เราต้องดูแลรักษาให้มันเติบโตต่อไป ส่งต่อความรู้สึกที่จะช่วยกันอนุรักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมไปให้คนรอบตัวเรา ส่งต่อไปให้คนรุ่นถัดไปจากเรา ให้เรื่องนี้กระจายไปในวงกว้าง เรื่องแบบนี้มันต้องปลูกฝังให้เป็นจิตสำนึกและทำไปด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ใครบังคับให้ทำ สิ่งที่กรีนเวฟและโตโยต้าต้องการจริงๆไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้ไม่กี่ร้อยต้นที่ชะอำ แต่เป็นการสร้างการรับรู้และบอกต่อไป อย่างน้อยคน 300 คนที่เขียนเรื่องส่งเข้าประกวดที่กรีนเวฟก็ได้ถูกจุดประกายความคิดขึ้นมา แล้ว โอกาสหน้า ถ้าผมได้มีโอกาสได้รับเลือกจากกรีนเวฟ/โตโยต้าให้ร่วมกิจกรรมอีก เราคงได้เจอกัน

ขอชมน้องทีมงานกรีนเวฟที่อยู่รถคันที่ 1 ครับว่าดูแลทุกคนดีมากๆ แจกน้ำแจกอาหารให้ตลอด คอยนับลูกทีมให้ครบจึงจะออกรถ ขอบคุณครับ

ปกติ ผมก็เป็นลูกค้าโตโยต้าอยู่แล้ว ซื้อ corolla มาใช้ก็ไม่ผิดหวังเพราะไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย รถใช้ดีมาก ประหยัดค่าใช้จ่าย อะหลั่ยเพียบ รถคันต่อไปคงเป็น Camry ล่ะครับ แต่คงไม่ hybrid เพราะมันแพงไป กับสู้ราคาแบตลูกละ 3 แสนตอนรถหมดประกันไม่ไหว ที่อยากได้จริงๆคงเป็น Camry CNG นั่นแหละ ซึ่งมันปล่อยไอเสียออกมาสะอาดกว่า Camry hybrid ตั้งเยอะ และลดมลพิษในอากาศได้ดีกว่า Camry hybrid ซะอีก เครื่องยนตร์2.4 ที่เผาไหม้โดยใช้น้ำมันของ hybrid แม้ว่าจะเป็นแบบ atkinson cycle ที่ประหยัดน้ำมันมากๆ แต่มันก็ยังเผาไหม้โดยใช้น้ำมัน ปล่อยไอเสียเป็น CO, CO2 สารไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ และสารพัดก๊าซพิษออกมามาก เครื่องยนตร์ที่ใช้ CNG เวลาเผาไหม้แล้วปล่อยก๊าซพิษออกมากน้อยกว่านับสิบเท่า นี่ยังไม่นับเรื่อง CNG ที่มันราคาถูกกว่าแกสโซฮอลมากด้วยนะ แล้วรถ CNG ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตลิเธียมลูกละ 3 แสนกับวงจร inverter ควบคุมระบบ hybrid อีกชุดละแสนกว่าบาทด้วย ฝากไว้ครับ เผื่อโตโยต้าคิดจะทำ Camry CNG บ้าง รถAltis CNG มันคันเล็กไปแล้วสำหรับครอบครัวผม

ที่น่าแปลกใจคือผมไม่ค่อยเห็นฮอนด้าที่เป็นคู่แข่งรายสำคัญของโตโยต้ามาทำ กิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างที่โตโยต้าทำเลย น่าเสียดายจริงๆ อยากฝากอีกอย่างคือถ้าจะจัดกิจกรรมอื่นๆในอนาคต อยากให้เลี่ยงกิจกรรมประเภทขับรถแข่งแรลลี่ หา RC จาก กทม ไปจังหวัดอื่นๆนะครับ มีบางที่จัดไปเขาใหญ่ด้วยซ้ำ กิจกรรมแบบนี้มันเปลืองน้ำมันมากๆ เพราะทุกคนต้องขับรถไปคนละคัน ปล่อยควันพิษออกมาเท่าไร ที่ร้ายไปกว่านั้นคือดันจัดไปเขาใหญ่ที่เป็นอุทยานแห่งชาติมีสัตว์ป่าเพียบ แล้วเอารถ 50-60 คันวิ่งเข้าไปรบกวนสัตว์ป่าและสภาวะแวดล้อม มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

ถ้าโตโยต้า หรือกรีนเวฟจะไปทำกิจกรรมที่ไหนอีก ผมยินดีจะไปร่วมด้วยช่วยกันอย่างเต็มที่ครับ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทริปไปฟังเพลงแบบครั้งนี้หรอก ต่อให้ไปปลูกป่าเฉยๆ ไปทำฝาย ก็จะไป ขอให้บอกล่วงหน้าจะได้จัดคิวการทำงานได้ ผมเคยบอกทีวงานไปแล้วตอนออกเดินทางว่าขอเป็นทริปโหดๆหน่อย ทริปนี้เรียกว่าสบายสุดๆครับ เอาอารมณ์ประมาณว่าไปออกค่ายสมัยมหาลัยนั่นแหละ โหด มัน ฮา ดี

จบแล้วครับกับจดหมายยาวๆที่อยากแชร์ให้กับทุกคน ขอบคุณกรีนเวฟและทางโตโยต้า ที่ร่วมกันจัดงานดีๆแบบนี้ขึ้นมาให้เราได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ผมเริ่มเขียนจดหมายที่เกาหลี แต่มาเขียนจบที่เมืองไทย นับเป็นจดหมายที่ยาวข้ามประเทศเลย
ปล ถ้าใครอยากรู้จักผมมากขึ้น อยากเห็นแนวคิดของผม ตามไปอ่านกันต่อได้ที่ http://yutc.blogspot.com ครับ ผมพยายามเขียนบทความใหม่ๆเข้ามาประมาณอาทิตย์ละหน มีบทความเกี่ยวกับโตโยต้า Hybrid ด้วย อยู่ด้านล่างสุดเลย เผื่อชาวโตโยต้าอยากรู้ว่าผมคิดอย่างไรกับ Hybrid

นี่เป็นลิงค์ไปที่ greenwave เพื่ออ่านความรู้สึกจากสมาชิกคนอื่นที่ไปร่วมงานด้วยกัน
http://webboard.atimemedia.com/webboard/index.php?PHPSESSID=89bptn37lhtdh4ql1llfuf0976&topic=4818.30


แล้วเจอกันอีก

ยุทธ

Wednesday, November 4, 2009

ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการรักษาและปลูกป่าชายเลน

วันนี้โชคดี เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนฟังวิทยุช่อง greenwave 106.5 อยู่ก็ได้ยิน spot ช่วยกันปลูกป่าชายเลนโดยทางรายการให้ร่วมสนุกโดยเขียนเรื่องการอนุรักษ์ป่าชายเลนในแบบของคุณ ผมลองเขียนเข้าไปแข่งกับเขาดู ปรากฏว่าได้รับเลือกให้ผ่านรอบแรกเข้ารอบสอง ต้องไปสัมภาษณ์ที่ตึกแกรมมี่ที่อโศกที่รถติดมากๆ แถมนัดตอน6โมงเย็นที่รถติดสุดๆอีก ดีนะว่าไปด้วยรถไฟใต้ดินเลยรอดตัวไป พอไปถึงก็รอสัมภาษณ์กับกรรมการ 4 คน กับผู้สมัครอีกรอบละ 4 คน เราแก่สุดในกลุ่มแฮะ ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่ 10 นาที เล่าให้เขาฟังว่าเรามีส่วนช่วยรักษาสภาวะแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงานอย่างไร แล้วเราสอนลูกของเราให้มีจิตสำนึกที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างไร

วิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่เราก็เคยได้ยินกันอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้หมดทุกอย่าง ลองมาดูกันว่าผมทำอะไรไปบ้าง

1. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน เปิดไฟเฉพาะบริเวณที่ใช้งาน ส่วนที่ไม่ใช้งานให้ปิดให้หมด

2. ไฟข้างบ้านที่ต้องเปิดไว้ตอนกลางคืน เพื่อกันขโมยก็ใช้สวิสต์ตั้งเวลาปิดเปิดช่วง 22.30 - 05.30 ใช้หลอดขนาด 8วัตต์ที่สว่างเท่ากับหลอด 40วัตต์ เพียงพอจะทำให้ข้างบ้านสว่างได้ทั่วถึง

3. เปลี่ยนหลอดในโคมดาวน์ไลท์ทั้งหมดในบ้าน ที่หมู่บ้านให้มาแบบหลอดไส้ที่กินไฟ เป็นแบบหลอดตะเกียบประหยัดพลังงาน แถมซื้อตอน silvania เขามาขายลดราคาอีกต่างหากเลยได้ราคาถูก หลอดละ 60-70 บาท

4. เปลี่ยนไปใช้ก็อกประหยัดน้ำ

5. ใช้โถส้วมประหยัดน้ำ

6. ล้างแอร์ทั้งคอยล์ร้อน คอยล์เย็นอย่างสม่ำเสมอทุก 3-4 เดือน ล้างแผ่นกรองอากาศทุก 1-2 สัปดาห์/ครั้ง ผมล้างทุกอย่างเอง ไม่ต้องง้อช่างจึงทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

7. เปลี่ยนน้ำยาแอร์จากเดิม R22 เป็นน้ำยาแอร์แบบ Hydrocarbon ที่ทำความเย็นได้เร็วกว่าเดิม 2 เท่า และทำให้แอร์ประหยัดไฟขึ้น 15% รายการนี้ก็ทำเองอีก จ้างร้านทำก็คิดเงินค่าเปลี่ยนน้ำยาเครื่องละ 1500-2000 บาท ประหยัดไฟไปได้เยอะ

8. ติดฉนวนกันความร้อน stay cool ของตราช้าง หนา 6 นิ้วเหนือฝ้าชั้นสองทั้งหลัง กันความร้อนจากหลังคาลงมาที่ห้องนอน ทำให้บ้านไม่ร้อน ห้องนอนไม่อบอ้าว พอตอนกลางคืนเปิดแอร์แป็ปเดียวก็เย็นแล้่ว

9. ใช้แอร์ daikin inverter แอร์ระบบ inverter มีระบบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ที่ต่อเนื่องโดยปรับรอบการทำงานตามโหลดความร้อนในห้อง ทำให้มันประหยัดไฟกว่าแอร์ธรรมดา 30%

10. แยกขยะทุกชนิดก่อนทิ้ง เพื่อนำไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าให่้เขาเอาไปรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ ประหยัดพลังงานในการผลิตของ ประหยัดวัตถุดิบ ของที่แยกออกก็มี ขวดน้ำดืมใส ขวดน้ำดืมขาวขุ่น กระดาษขาว กระดาษโบรชัวร์โฆษณาต่างๆที่รับแจกมา กล่องขนม/กล่องสินค้า/กล่ิองกระดาษต่างๆ กระดาษหนังสือพิมพ์ เศษพลาสติคเก่าๆที่ชำรุดไม่ใช้แล้ว ขวดแก้วใส ขวดแก้วสี น้ำมันพืชใช้แล้ว เศษเหล็ก ตัวถังคอมพิวเตอร์เก่าๆ หนังสือเก่าๆที่ได้มาเยอะแยะและไม่ใช้แล้ว ขยะทุกอย่างเป็นเงินทั้งนั้น แม้กระทั่งเศษอาหารเปียกก็เอาไปทิ้งในกระถางต้นไม้่เพื่อหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ผลก็คือขยะทิ้งจากบ้านผมมีน้อยมากๆเพราะแยกไปขายหมด บางคนอาจจะมองว่างก แต่ผมมองว่านี่เป็นความรับผิดชอบที่เราทุกคนต้องช่วยกันทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานในการผลิตสินค้า และลดปริมาณขยะที่จะท่วมกรุงเทพอยู่แล้ว

11. อาบน้ำด้วยฝักบัว ไม่ใช้ขันตักรดเพราะเปลืองน้ำ ไม่ใช้อ่างอาบน้ำที่เปลืองน้ำมากๆ

12. ปลูกต้นไม้ใหญ่บังแดดโดนบ้าน บ้านจะเย็น แถมต้นไม้ฟอกอากาศอีก

13. รดน้ำสนามหญ้าตอนเย็น น้ำจะระเหยน้อยที่สุด

14. ล้างรถก็เปิดน้ำเบาๆ ไม่ต้องเปิดน้ำซะแรงทิ้งไปเปล่าๆ

15. เป่ากรองอากาศรถทุกๆ 2000 กิโล ถอดมาเป่าเองไม่ยากหรอก ทีีปั๊ม Jet เขามีลมให้เป่าฟรี เป่าแล้วอากาศเข้าเครื่องยนตร์สะดวก ประหยัดน้ำมัน

16. โยนของทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกจากรถ ให้รถเบาที่สุด โยนออกแม้กระทั่งยางอะหลั่ยแล้วพกที่สูบลมยางแทน ลดน้ำหนักรถไปได้เกือบๆ 30 กิโลเชียว ทำเป็นเล่นไป

17. เติมลมให้พอดี ผมใช้แรงดันลดประมาณ 34 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้ง 4 ล้อ ลมแข็งไปนิด แต่รถวิ่งดีมาก ประหยัดน้ำมัน

18. ติด ground wire ในห้องเครื่อง ช่วยให้ไฟฟ้าเดินสะดวกขึ้น เครื่องยนตร์บับแล้วมันลื่นขึ้น ตอบสนองดีขึ้นจนรู้สึกได้

19. ไม่ต้องเติมน้ำในที่ฉีดกระจกให้เต็มหรอก มันหนักรถ เติมแค่ 1/5 ก็พอแล้ว ไม่ค่อยได้ใช้หรอด น้ำหมดก็เติมได้ทุกปั๊ม

20. การขับรถอย่าจี้คันหน้า เว้นระยะห่างพอควร มองไปข้างหน้าไกลๆ ถ้าเห็นรถเริ่มติดหรือไฟแดงรออยู่ก็ถอนคันเร่ง ปล่อยรถไหลเข้าไป ประหยัดน้ำมัน ไม่ต้องเบรคบ่อยๆ ไม่ต้องกลัวคันหน้าเบรคกระทันหันเพราะเราเว้นระยะไว้ปลอดภัยแล้ว ขับแบบนี้ประหยัดน้ำมัน ประหยัดผ้าเบรคได้เยอะ ผมขับรถ 120,000 กิโลแล้วผ้าเบรคชุดเดิมตอนซื้อรถเมื่อ 10 ปีที่แล้วยังไม่หมดเลย คงใช้ได้อีกเป็นปี

21. การออกตัวรถจากจุดหยุดนิ่งก็สำคัญ อย่าเร่งเร็วๆ แรงๆรักษารอบเครื่องสัก 2500 รอบตอนออกตัว หรือเต็มที่ก็ 3000 รอบ ค่อยๆไต่ความเร็วขึ้นช้าๆ จะประหยัดน้ำมันได้มาก ถ้าขับทางตรงถนนยาวๆ พอเร่งความเร็วได้ 120 ก็รักษาความเร็วแช่คันเร่งเลย จะประหยัดน้ำมันที่สุด

22.ไม่ต้องขนไปติดสปอยเลอร์ สเกิตร์รอบคัน หรือคิ้วบังลมที่กระจกทั้ง 4 ด้าน เพราะของพวกนี้ทำให้รถหนักขึ้น ต้านลมมากขึ้น รถกินน้ำมันมากขึ้น

23.ไม่ต้องใช้ไฟตัดหมอก เพราะเมืองไทยแทบจะไม่มีหมอกเลย ยิ่งใน กทม ยิ่งไม่ต้ิองใช้ ที่เปิดกันเกลื่อนเมืองนั่นเปิดเอาเท่ห์เอาสวยทั้งนั้น ไฟตัดหมอกกินแรงเครื่องยนตร์ ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น

24. เปิดแอร์ในรถเอาแค่พอเย็นๆ ไม่ต้องเย็นมาก เปิดแอร์จะกินแรงเครื่องยนตร์มากขึ้นและกินน้ำมันขึ้น 10% ถ้าขับรถช่วงเช้าๆอากาศดีอย่างที่ผมขับตอน 6 โมงเช้าก็ไม่เปิดแอร์ เปิดกระจกรับลมแทน

25. ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ใสหน่อย สัก 10W30 จะช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นอีกนิด

26. เวลาเติมน้ำมันรถ เติมให้รถวิ่งได้สัก 1 อาทิตย์ก็พอ อาจจะสักครึ่งถัง ไม่จำเป็นต้องเติมเต็มถังเ 50-70 ลิตรเพราะทำให้รถหนักมาก เร่งออกตัวช้า เบรคหยุดยากขึ้น ปั๊มน้ำมันมีเยอะแยะ ไม่ต้องกลัวน้ำมันหมด

27. เวลารถติดไฟแดง อย่าเ้หยียบเบรคค้างไว้แล้วเข้าเกียร์ D คาไว้ มันเปลืองน้ำมัน ให้เข้าเกียร์ N ไปก่อน ไฟเขียวแล้วค่อยเข้า D ใหม่ ไม่ต้องกลัวเกียร์พังเพราะเปลี่ยนบ่อย ผมใช้มา 10 กว่าปีแล้วไม่เห็นมันพัง ไม่เคยต้องซ่อมเกียรฺ์้เลย แค่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 40000 กม

28. น้ำยาแอร์รถเติม R134 ถ้าเปลี่ยนเป็นน้ำยาแอร์แบบ Hydrocarbon จะทำให้้แอร์รถเย็นเร็วขึ้น 2 เท่า กินแรงเครื่องน้อยลง และประหยัดน้ำมันรถอีก 5-8% ทีเดียว นี่ใช้เอง วัดอัตราการสิ้นเปลืองมาแล้วถึงแน่ใจว่ามันประหยัดจริง เย็นจัดจริงๆ

29.เปิดไฟหน้าเมื่อจำเป็นจริงๆ และปิดเมื่อแสงสว่างภายนอกเพียงพอแล้ว ไฟหน้ากินไฟมาก ฉุดเครื่องยนตร์มาก ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น

30. ไอ้ forward mail ที่บอกว่าให้เติมน้ำมันตอนอากาศเย็นๆจะได้ปริมาณน้ำมันเยอะๆนั่นไม่ต้องไปเชื่อหรอก มันไม่เวิร์คขนาดที่คุณต้องมาเติมน้ำมันตอน 3-4 ทุ่มหรอก สะดวกเมื่อไรเติม วิธีที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดอยู่ที่การเหยียบคันเร่งให้นุ่มนวล

31. น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาที่สุดของศูนย์บริการ หรืออย่างที่ผมใช้คือของ ปตท แบบ semi synthetic แกลลอนละ 550 บาท มันสามารถใช้ได้ 10,000 กม สบายๆ ไม่ต้องขยันเปลี่ยนทุก 5000 กม หรอก มันเสียของ ใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า

32. ที่ทำงานจะปิดไฟในออฟฟิศตอนพักเที่ยง ไอ้นี่ประหยัดได้เยอะเชียว ใช้โคมไฟแบบที่มีแผ่นสะท้อนแสงดีๆ แทนที่จะใช้หลอดนีออก 3 ดวง/โคม ก็เหลือ 2 ดวง/โคม

33. ผมติดหัวพ่นหมอกน้ำให้พ่นหมอกใส่คอยล์ร้อนของแอร์ที่บ้าน และที่ทำงาน หมอกน้ำจะดึงความร้อนออกจากแผงระบายความร้อนได้เร็วมาก แอร์เย็นเร็ว และประหยัดไฟขึ้น 15-20% เลยทีเดียว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ลงทุกแค่ 400 บาท/แอร์1ตัวเท่านั้น ยิ่งหน้าร้อนอากาศร้อนจัดๆจะเห็นผลชัดมาก

34. ตั้งตู้เย็นให้ห่างกำแพงสัก 15-20 ซม ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี ตู้เย็นจะระบายความร้อนได้เร็ว ประหยัดไฟ ผมเลือกใ้ช้ตู้เย็นแบบ inverter ที่ประหยัดไฟกว่าระบบธรรมดา 25-30% ป้องกันแดดไม่ให้ส่องโดนตู้เย็น

35. ในบางพื้นที่อย่างแถวบ้านผมน้ำแรงจนไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำ ทำให้แม้ว่าผมจะติดตั้งปั็็๊มน้ำไปแล้วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเ้ปิดใช้งานเลย ประหยัดค่าไฟของปั๊มน้ำไปเยอะ ท่อน้ำทั้งหมดในบ้านพยายามเลือกใช้ท่อใหญ่ขนาด 6 หุนไปจนถึง 1 นิ้วทำให้แรงดันน้ำในท่อตกลงน้อย น้ำจะไหลแรงโดยไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำ

นี่เขียนมาก็เกือบ 90 นาทมีแล้ว ชักจะนานไป เอาคร่าวๆเท่านี้ก่อน แต่คุณจะเห็นแล้วว่าการประหยัดพลังงาน การรีไซเคิล การช่วยกันรักษาสภาวะแวดล้อมไม่ใช่เรื่องจาก ถ้าทำตามที่ผมกล่าวมา จะประหยัดเงินของคุณไปได้เยอะทีเดียว

คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าผมทำอย่างไรถึงลดค่าไฟของออฟฟิศไปได้ 25-30% ประหยัดเงินไปเดือนละ 2-3 หมื่นบาทโดยไม่ต้องลงทุนเลย ทำได้ง่ายๆ

Thursday, October 29, 2009

CIO, IT Director, IT Manager มีหน้าที่อะไร

คำถามยอดนิยมเวลาสัมภาษณ์งานสำหรับตำแหน่งผู้นำของแผนก IT ก็คือ คุณคิดว่า CIO , IT manager, IT director เขามีหน้าที่อะไร

นี่เป็นคำถามที่ง่าย แต่คนตอบเหนื่อยเพราะต้องอธิบายกันยืดยาวและใช้เวลาตอบนานมาก ใช้เป็นคำถามวัดกึ๋นของผู้สมัครได้เลยว่าทำงานในตำแหน่งบริหารแผนก IT มานานแค่ไหน รู้บทบาทของงานนี้จริงๆหรือไม่

ในมุมมองของผม ตำแหน่งระดับ CIO, IT director พวกนี้ข้ามผ่านงานระดับ operation มาแล้ว เขาผ่านงานITระดับต้น ถึงระดับกลางมาอย่างโชกโชน อย่างน้อยก็กว่า 15 ปีล่ะ ตอนนี้ก็จะเริ่มๆไต่ขึ้นระดับสูงแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไต่ขึ้นระดับสูงกันได้หมด จะขึ้นระดับสูงได้อย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติดังนี้

- คิดเป็น แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ต้องคิดมาก และคิดเป็น คิดลงลึกและคิดในแนวกว้าง ต้องคิดดักหน้าคนอื่นไป 2-3 ก้าว

- เป็นผู้นำคนได้ ตำแหน่ง CIO, IT director ต้องนำคนจำนวนมากอยู่แล้ว ทักษะในการเป็นผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นคนสั่งการทุกอย่างเสมอไป นั่นมัน ผจก รุ่นโบราณแล้ว ผจก รุ่้นใหม่นี่จะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำ นำทางให้คนอื่นเดินตาม ต้ิองให้ผู้ตามมีส่วนร่วมแสดงความเห็นในการกำหนดทิศทางของแผนก และคอยอธิบายให้เขาฟังเมื่อเห็นว่าแนวคิดบางอย่างของเขายังไม่ถูกต้อง ถ้าทำอย่างนี้ไปบ่อยๆ นานๆเข้าลูกน้องคุณจะเก่งขึ้นมาเอง ส่วนจะเก่งมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน

- คัดคนเป็น หัวหน้าที่ดีต้องรู้จักวิธีสัมภาษณ์คน อ่านคนให้ออก และเลือกคนที่มีศักยภาพจริงๆออกมาให้ได้ ข้อนี้พูดง่าย แต่ทำยากครับ เพราะการที่จะสัมภาษณ์คนได้เก่งๆ มองคนให้ิิออกจากการคุยกันแค่ 20-30 นาทีนี่คนสัมภาษณ์ต้องชำนาญและสัมภาษณ์คนมาเยอะ ตัวผมเองก็สัมภาษณ์คนมาเป็นหลักหลายร้อยคน กว่าจะจับทางออกว่าทำอย่างไรเราถึงจะคัดคนที่น่าสนใจออกมาจากการสัมภาษณ์ได้นี่ก็ต้องลองผิดลองถูกมาเยอะ

- ฝึกลูกน้องให้เก่ง อันนี้สำคัญสำหรับองค์กรสมัยใหม่ที่เน้นการสร้างคน และเน้นการทำงานเป็นทีม การทำงานสมัยนี้หมดยุคข้ามาคนเดียว เก่งคนเดียวไปนานแล้ว องค์กรสมัยใหม่เน้นให้มีขนาดเล็ก มีคนน้อย แต่ทำงานมาก คนแต่ละคนทำงานหลายอย่าง แถมทำงานทดแทนกันได้ในยามจำเป็นด้วย หน้าที่หลักของหัวหน้าคือสร้างคนให้เก่งขึ้นมาช่วยแบ่งเบาภาระของตน และสร้างคนเก่งๆให้องค์กร บริษัทใหญ่ๆเขาจะเน้นมากเรื่องต้องสร้างลูกน้องที่จะทำหน้าที่ผู้สืบทอดจากตัวหัวหน้าให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป ในหลายองค์กรเราพบว่าบรรดาลูกน้องจำนวนมากในแผนกยังมือไม่ถึง และห่างชั้นจากตัวหัวหน้าอยู่หลายขุม เมื่อถึงคราที่หัวหน้าลาออกไป หรือโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ลูกน้องเดิมก็ไม่สามารถทดแทนได้ สุดท้ายก็ต้องรับคนนอกเข้ามาแทน

- สื่อสารกับคนรอบตัวทั้งระดับเดียวกัน ระดับสูงกว่าและระดับที่ต่ำกว่าได้ดี มีทักษะในการพูด

- อ่านใจนายออก ข้อนี้สำคัญ คุณทำงานมาถึงระดับนี้แล้ว คงไม่ต้องให้นายมาคอยบอกไปทุกเรื่องว่าต้องการอะไร จะต้องทำอย่างไร คุณต้องมองให้ออกว่าเราควรจะต้องทำอะไรแล้วนำเรื่องไปปรึกษากับเจ้านาย ถ้าได้รับไฟเขียวก็ลุยได้เลย อย่าลืมว่าเราต้อง proactive ไม่ใช่ reactive

- ผ่านประสบการณ์ IT มาทั้ง hardware, software, network ถึงแม้ว่าในระดับนี้คุณไม่ต้องลงมือทำงานระดับ operation เองแล้ว แต่คุณต้องผ่านงานเหล่านี้มา เพื่อจะสามารถแนะแนวทางการทำงานให้ลูกน้องได้ และรู้ด้วยว่าลูกน้องของคุณกำลังมั่วอยู่หรือเปล่า

- วางงบและควบคุมงบประมาณแผนก IT ได้อย่างเชี่ยวชาญ หลังจากที่ผมทำงานคุมงบมาหลายปี ผ่านมาทุกรูปแบบ จนตอนนี้มองภาพออกแล้วว่า IT director หรือ CIO นั้นต้องอ่านงบ IT ได้อย่างชำนาญ มองออกเลยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน และจะหั่นงบตรงไหนดี งานหลักอย่างหนึ่งของตำแหน่งนี้คือหั่นงบส่วนเกินทิ้ง ในขณะเดียวกันก็ต้องดูให้แน่ใจว่ามีงบอย่างเพียงพอที่จะทำงานที่สำคัญให้ลุล่วง

- เจรจาต่อรองเก่ง ในตำแหน่งนี้คุณต้องเจรจาต่อรองกับคนจำนวนมาก ทั้งในหน่วยงาน IT ด้วยกัน นอกหน่วยงาน IT หรือคนจากบริษัทอื่น เจรจาอย่างไรคุณจึงจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ และคู่เจรจาก็ยังรู้สึกดีและยินดีทำตามสิ่งที่ตกลงกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยากครับ บางครั้งมันก็ไม่สำเร็จอย่างสวยงามเสมอไป

- ปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว โลกสมัยใหม่นี่ธุรกิจปรับตัวเร็ว ชาว IT ยิ่งต้องปรับตัวได้เร็วกว่า ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรับมือกับสถานการณ์ฺต่างๆได้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ตำแหน่งนี้ต้องมี

- บริหารจัดการ vendor ได้ดี อันนี้สามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาล ทั้งได้ราคาพิเศษ ได้รับรู้เทคโนโลยีใหม่เป็นคนแรก ได้เงื่อนไขพิเศษจากการต่อรองกับ vendor

- มองการณ์ไกล ต้องมองไปข้างหน้าให้ได้ 3-5 ปี ไม่ต้องนานขนาด 10ปีหรอก โลกสมัยนี้มันก้าวไปเร็ว และเปลี่ยนเร็วมาก มองไปข้างหน้าได้ 3 ปีผมว่าก็เก่งแล้ว

- หลักการคิดดี รู้จักคิด และรู้จักตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ คนที่อยู่ระดับนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดหรือรู้ลึกในทุกๆเรื่อง โดยทั่วไปเขาจะรู้หลักการกว้างๆ รู้ business process ของหน่วยงานต่างๆในบริษัทดี เมื่ออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงลึกก็เข้าไปถามคนที่เกี่ยวข้อง

- นำเสนอแนวคิดและหลักการได้ดี ขายแนวคิดให้คนอื่นยอมรับและนำไปปฏิบัติได้

- เป็นนักฝัน...... คนระดับนี้ต้องฝันให้ไกลและไปให้ถึง เขาต้องมองภาพงานของแผนก IT ในอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงกำหนดแผนยุทธวิธีที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ จากแผนยุทธวิธีก็เอามากำหนดเป็นแผนปฏิบัติงานในแต่ละปีเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาว

- ตามทันโลก, CIO, IT director ที่ดีต้องตามทันโลกว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว คู่แข่งเขาใช้ IT อย่างไรให้เกิดความได้เปรียบทางธุรกิจ คนที่จะทำงานตรงนี้ต้องเป็นนักอ่านตัวยง อ่านทั้งจากเว็บ จากนิตยสาร จากหนังสื่อพิมพฺ์ต่างๆ

- รู้จักธุรกิจที่ตัวเองกำลังทำอยู่ดี นี่เป็นกฏสำคัญข้อแรกเลยก็ว่าได้ ถ้า CIO ไม่รู้จักธุรกิจของบริษัทตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เข้าใจ business process โดยรวมของทั้งองค์กรแล้ว เขาจะไม่สามารถกำหนดแผนงาน IT ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรได้ ผมเคยอ่านเจอว่าเมื่อ Starbuck รับ CIO คนใหม่เข้ามาทำงาน งานแรกของเขาคือไปเป็นพนักงานขายกาแฟอยู่หน้าร้านก่อน 10-15 วัน เพื่อให้เข้าใจธุรกิจ ก่อนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ CIO ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เป็นอย่างมาก ถ้า CIO คนไหนเอาแต่นั่งฝันหรือควบคุมงานทั้งหมดจากสำนักงานใหญ่ โดยไม่ไปคลุกคลีพบปะกับลูกค้าเลย ผมว่า CIO คนนั้นยากที่จะกำหนดทิศทางของแผนก IT ให้สอดคล้ิองกับเป้าหมายของธุรกิจ และใช้ IT เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ

- รู้จักการเมืองในที่ทำงาน เข้าใจว่าการเมืองเป็นอย่างไร อ่านเกมส์ออก แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเล่นการเมืองในที่ทำงานกับเขาด้วยล่ะ ที่ต้องรู้ก็เพื่อจะสามารถเอาตัวรอดได้ในที่ทำงาน และสามารถผลักดันงานของแผนก IT ให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยใช้การเมืองเข้ามาเสริม คุณต้องรู้ว่าต้องพูดเรื่องไหนกับใคร และใครจะช่วยคุณผลักดันเรื่องต่างๆได้ ถ้าจะให้ดีคุณต้องสามารถสลายขั้วทางการเมืองในออฟฟิศให้ได้ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆเลย

ที่ผ่านมาผมสัมภาษณ์ IT manager จากหลายๆประเทศมาก็มาก ยังหาคนที่ตอบได้ครบๆแบบถูกใจเลยยังไม่มีจริงๆ ไอ้ที่ผมบอกมาข้างต้นนั่นก็ไม่ใช่จะครบทุกเรื่องนะ แต่เรื่องหลักๆก็คงครบล่ะ

หลังจากร่ายมายาว ตกลงผมตอบคำถามได้เป็นที่พอใจหรือยังว่า CIO, IT Director, IT manager เขาทำอะไร

Monday, October 26, 2009

แนวโน้มใหม่ของ IT ในวันนี้

สำหรับชาว IT ยุคนี้ใครไม่รู้จัก VMWARE คงเชยมากๆ นี่เป็นแนวโน้มใหม่ที่บริษัทใหญ่ๆที่มี server หลายๆตัวนิยมทำกัน ถ้าคุณยังไม่ได้ทำละ่ก็ ลองหาเวลาศึกษาดู เจ้า VMWARE มันจะทำให้ server เพียงตัวเดียว สามารถสร้างเครื่องเสมือน(virtual machine) ขึ้นมาได้หลายๆเครื่องภายใต้ server จริงๆแค่ตัวเดียว ซึ่งมันทำให้

ประหยัดค่าเครื่อง server ไปเยอะ
ประหยัดค่าไฟฟ้าที่จ่ายให้ server
ประหยัดค่าแอร์ และค่าไฟเปิดแอร์
ประหยัดค่าบำรุงรักษา server ไปได้เยอะ
admin ก็ทำงานน้อยลง เพราะมีเครื่องจริงๆ แค่เครื่องเดียว
เป็นการใช้ทรัพยากรในเครื่อง อย่างคุ้มค่า เพราะ server ส่วนใหญ่แรงๆทั้งนั้น เอามาทำงานเพียงงานเดียวจะพบว่ามันจะอยู่ว่างๆเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้ามาทำ VMWARE จำลองเป็นหลายๆเครื่อง มันก็จะใช้ทรัพยากรในเครื่องได้อย่างคุ้มค่า
ลดค่าลิขสิทธิ์ OS ด้วย เพราะเขาคิดเงินตาม จำนวน CPU ที่มีอยู่จริง ไม่ได้คิดตามจำนวนเครื่องเสมือน

ข้อเสีย
มีเครื่องจริงแค่ 1 เครื่อง เวลามันพังขึ้นมา เครื่องเสมือนทุกตัวก็ตายพร้อมกัน ดังนั้นถ้างานของคุณสำคัญชนิดหยุดไม่ได้จริงๆ ต้องพิจารณาทำ server redundant โดยใช้ server อย่างน้อย 2 ตัวทำงานร่วมกัน ถ้าตัวหนึ่งร่วงไป อีกตัวหนึ่งจะเข้ามาแทนที่ทันที เครื่องที่ใช้ควรจะเป็นเครื่องมียี่ห้อสักหน่อย พวก dell ibm hp ก็ได้ ราคาก็ไม่แพงนัก ของเขาดีจริงๆ มาพร้อมกับรับประกัน 3 ปีเต็ม แต่ถ้าอยากให้มั่นใจก็ซื้อประกันเพิ่มเป็น 7วัน*24 ชั่วโมง ตอบกลับใน 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับป้องกันสูงสุดที่มี ถ้ามีปัญหา โทรเรียกเขาก็จะมาเลย

จริงๆแล้ว VMWARE ยังมีประเด็นเรื่องการบริการจัดการเน็ตเวิร์ค การรักษาึความปลอดภัยในระบบอีก แต่ไว้ค่อยพูดวันหลังแล้วกัน เรื่องมันยาวมาก

เอาเป็นว่า ถ้าคุณมี server หลายๆตัว น่าจะหันมามอง VMWARE กันบ้าง มันเยี่ยมจริงๆ

การเติมน้ำยาแอร์รถยนตร์ให้เย็นจัด

มีคนถามมาว่าจะเติมน้ำยาแอร์รถยนตร์อย่างไรให้เย็นจัดจนเป็นฝ้าเกาะกระจกเลย วิธีมีไม่ยาก

1.ถ้าแผงคอยล์ร้อนไม่เคยล้างมาเป็นปีแล้ว เอาน้ำยาอปาเช่ สีเหลือง สำหรับล้างคอยล์ร้อน มาฉีดล้างแผงให้ทั่ว ฉีดน้ำเปล่าให้ชุ่มก่อน แล้วฉีดอาปาเช่ให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาทีจนมันเป็นฟองขาวๆฟู่ขึ้นมาเต็มไปหมดก็ใช้น้ำแรงๆฉีดล้างให้สะอาดหมดจด น้ำยามันแรงอยู่ อย่าแช่ไว้นานๆมันจะกัดแผงคอยล์ร้อน

2.ตอนที่เครื่องยนตร์ดีับอยู่ จัดการแวคเพื่อดูดอากาศออกจจากระบบแอร์ให้หมด จากนั้นเติมน้ำยา จะ R12, หรือ R134ก็แล้วแต่รถของคุณ สูตรของพี่ช่างแอร์ตัวจริงที่อยู่บางบ่อ(ตายไปแล้ว)จะคว่ำถังเติมเป็นของเหลว เจิมช้าๆจนน้ำยาเข้าไปเกือบเต็มระบบ แล้ววางถังลง ปิดวาล์น้ำยา ติดเครื่องยนตร์ วางเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิไว้ที่ช่องลมออก เปิดพัดลมแอร์สุด ตั้งเทอร์โมสุด เพื่อให้แอร์เดินเต็มที่ ทิ้งไว้สัก 10 นาทีระหว่างนี้ก็ดูว่าเทอร์โมวัดอุณหภูมิได้กี่องศา มันต้องค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ อาจจะไปสุดที่ 13 14 หรือ 15 องศา

3. วางถังตามปกติ จากนี้จะเติมน้ำยาแบบเป็นไอ ค่อยๆเปิดให้น้ำยาเข้าไปอีกช้าๆ เปิดสัก 10 วิ แล้วปิด แล้วรอ 2นาทีดูว่าเทอร์โมลดลงอีกไหม ถ้าลดลงอีก ก็ปล่อยน้ำยาเข้าไปอีก 10 วิ รอดูอุณหภูมิอีกครั้ง ทำไปเรื่อยๆจนมันไม่ลดลงอีกแล้ว อาจจะใช้เวลา 30-40 นาทีเฉพาะช่วงนี้ ระหว่างเติมน้ำยาต้องดูแรงดันฝั่ง lo กับฝั่ง hi อย่าให้สูงเกินไปล่ะ ถ้าฝั่ง hi สูงไป ให้ดูที่แผงคอยล์ร้อนได้เลย สกปรกแน่ๆ ระบายความร้อนไม่ออก ดูที่ตาแมวด้วยว่าต้องมีฟองเหลือนิดๆ เกือบๆใสปิ๊ง

4. ถ้าเติมน้ำยาเกินไป จะพบว่าอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ จะเริ่มตีกลับสูงขึ้นมาอีก ถ้าถึงจุดนี้ให้ปล่อยน้ำยาออกนิดหนึ่งก็จะพอดี

จำไว้ว่าถ้าน้ำยาแอร์รั่ว ต้องซ่อมรอยรั่วให้เสร็จและเติมน้ำมันคอมไปชดเชยส่วนที่รั่วไปด้วย ไม่งั้นน้ำมันคอมขาดมากๆคอมก็เสียงดังและพังในที่สุด

น้ำมันคอมแอร์ดูดความชื้นได้ดีมาก เมื่อใช้แล้วให้ปิดผนึกกันความชื้นอย่างดี อย่าเก็บไว้นาน

ถ้าจะเติมน้ำมันคอมเพิ่มโดยที่ไม่ต้องการถ่ายน้ำยาแอร์ออกก่อน ให้ใช้น้ำมันคอมของ coolman ที่เขาอัดน้ำยาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเติมเข้าไปในระบบแอร์ที่มีน้ำยาอยู่แล้วได้เลย ฉีดเข้าไปสัก 5 วินาทีแล้วฟังเสียงคอมแอร์ดู ถ้าเสียงเงียบก็ใช้ได้ ถ้ายังไม่เงียบก็ฉีดเข้าไปอีก 5 วินาีที แต่อย่าฉีดเกิน แอร์จะไม่เย็น คอมแอร์จะต้องการน้ำมันคอมประมาณ 120-150 ซีซีหรือประมาณ 1 ขวดกระทิงแดงเท่านั้น

อย่าลืมดูน้ำมันคอมแอร์ให้ตรงกับชนิดของน้ำยาแอร์ที่ใช้ น้ำยา R12 ใช้น้ำมันคอมแบบ mineral แต่ R134 ใช้น้ำมันคอมแบบสังเคราะห์ บอกร้านที่ซื้อให้ชัดเจน

ตัว dryer ให้ใช้ของแท้ หรือของ denso coolgear ที่มีคุณภาพดี ดูดความชื้นได้เยอะ อย่าใช้แบบถูกๆที่ไม่ค่อยดี อะหลั่ยทุกอย่างเล่นของ denso coolgear ราคาไม่แพง คุณภาพดีมาก

ระวังน้ำยาคุณภาพต่ำ มีความชื้นสูง เติมไปแล้วแอร์เย็นน้อย หาแหล่งซื้อน้ำยาที่เชื่อใจได้ ถ้าทำบ่อยๆ หรือทำให้เพื่อนด้วย ซื้อแบบมียี่ห้อยกถังเลยจะดีกว่า

ถ้าสายน้ำยาแอร์รั่วตรงหัวต่อ ผมเคยย้ำสายแล้ว มันอยู่ได้ 6 เดือนก็รั่วอีก ซื้อสายใหม่เลยดีกว่า ใช้ได้นานหลายๆปี

นึกออกแค่นี้ล่ะ สงสัยอะไรก็ถามมาได้

Monday, October 19, 2009

แหล่งรวมความรู้เรื่ิองแอร์รถ แอร์บ้าน

ตามมาอ่านที่ link นี้ได้เลยครับ คนเก่งๆเรื่องแอร์หลายคนรวมตัวกันที่นี่ สงสัยอะไรถามได้เลย
ใครอ่านครบทุกหน้า 153 หน้าก็รู้เรื่องแอร์หมดเลย
http://rcw.ms/forums/showthread.php?t=88171&page=153

Wednesday, October 7, 2009

จะซื้อแอร์ที่ใช้น้ำยาตัวเก่า R22 หรือตัวใหม่ R410 ดี

หลายคนถามมาว่าตอนนี้แอร์รุ่นใหม่หลายยี่ห้อมีให้เลือกว่าจะเอาน้ำยาแอร์ตัวใหม่ R410 หรือน้ำยาตัวเก่า R22

น้ำยา R410
แรงดันน้ำยาสูงกว่า R22 เกือบ 2 เท่า
ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศน้อยกว่า R22 มาก
ราคาน้ำยาแพงเพราะเป็นของใหม่ ช่างแอร์ทั่วไปยังไม่มี เติมน้ำยาจากศูนย์บริการเห็นว่า 3000 บาท
ช่างทั่วไปซ่อมไม่เก่ง หรือซ่อมไม่ได้ เพราะต้องซื้อเครื่องมือวัดน้ำยาใหม่
คนยังใช้น้ำยาตัวนี้น้อย ราคาเลยแพง
แอร์มีราคาแพงกว่าเดิม เพราะต้ิองออกแบบระบบใหม่ทั้งหมดให้รับแรงดันน้ำยาที่สูงขึ้นได้
ประหยัดไฟเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก 5-10% แต่ราคาแพงขึ้นเยอะ


น้ำยา R22
แรงดันน้ำยาประมาณ 70-80 psi ต่ำกว่า R410
ทำลายชั้นโอโซนมากกว่า R410 แต่อย่าลืมว่าแอร์เป็นระบบปิด น้ำยาไม่รั่วไปไหน ใช้ไป 10 ปีน้ำยาก็อยู่ในระบบเท่าเดิม ถ้าทำการซ่อมบำรุงถูกต้อง น้ำยาก็จะไม่รั่วออกไปทำลายชั้นบรรยากาศ
น้ำยาราคากิโลละ 80 บาท อย่างดีก็ไม่เกินกิโลละ 150 บาท
ช่างทั่วไปให้บริการได้ มีความชำนาญเพราะทำกับตัวนี้มาตลอด
แอร์ราคาถูกกว่าตัวที่ใช้น้ำยา R410
การประหยัดก็ได้เบอร์ 5 อยูแล้ว ประหยัดไฟมาก
น้ำยา R22 จะถูกเลิกใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเราจะมีน้ำยา R22 สำหรับใช้ซ่อมบำรุงแอร์ไปอีกอย่างน้อย 10-15 ปีข้างหน้า ก็นานจนแอร์หมดอายุใช้งานนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาน้ำยามาเติมไม่ได้

สำหรับตัวผม ถ้าจะซื้อแอร์ในปี 52-53 ผมยังซื้อแบบที่ใช้ R22 ครับ เพราะค่าใช้จ่ายโดยรวมยังต่ำกว่า R410 มาก และด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องก็จะไม่มีน้ำยารั่วออกไปทำลายชั้นโอโซน

ลองดูราคาแอร์ไดกิ้น inverter ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว เป็นราคาลดลงเนื่องจากปรับภาษีใหม่แล้ว ลดไป 2พันกว่า

รุ่นใช้ R22 FTKD18GV2S/RKD18GV2S....inverter#5...17,700 btu...28,600 baht

รุ่นใช้ R410 FTKS18GV2S.............inverter#5...17,700 btu...34,800 baht

Sunday, August 2, 2009

ช่างแอร์ไดกิ้นเติมน้ำยาอย่างไร

พอดีแอร์ที่บ้านน้ำยารั่ว ต้องรื้อท่อแอร์มาแก้ไขหมด ช่างจากศูนย์ไดกิ้นมาทำเอง แก้ไขท่อที่ข้อต่อไม่ดี แล้วทำสูญญากาศระบบ(vacuum)30 นาที ปิดวาล์วทิ้งไว้ 2-3 นาทีเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีอากาศรั่วเข้าไปในระบบ จากนั้นเอาตาชั่งดิจิตอลมาตั้ง วางถังน้ำยาลงบนตาชั่ง ตั้งให้เป็น 0 แล้วปล่อยน้ำยาเข้าในระบบแอร์จนวัดได้ 1.2 กิโลตามสเปคของแอร์รุ่นนี้ แล้วเปิดแอร์ไว้ให้เดินเครื่องเต็มที่ 30นาที ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 20 องศาเลย พอครบ 30 นาทีก็เอาเครื่องวัดอุณหภูมิมาวัดที่ท่อดูดน้ำยากลับเข้าคอมเพรสเซอร์ว่าได้กี่องศา ถ้าได้เกิน 10 องศาจะถือว่าน้ำยายังไม่พอ ต้องค่อยๆปล่อยน้ำยาเพิ่มเข้าไปช้าๆจนกว่าจะวัดได้สัก 8 องศาจึงจะถือว่าพอดี แอร์จะเย็นเจี๊ยบเลย ในระหว่างนี้ก็วัดกระแสไฟที่คอมเพรสเซอร์แอร์ใช้ด้วยว่าจะต้องไม่เกินค่าที่กำหนด ซึ่งการชั่งน้ำหนักน้ำยาทำให้ไม่มีปัญหาน้ำยาเกินอยู่แล้ว


สำหรับการเติมน้ำยาเพิ่มก็เช่นเดียวกัน เปิดแอร์ไว้ 30นาที ตั้งที่ 20 องศาแล้ววัดอุณหภูมิที่ท่อดูด ถ้าเกิน 10 องศาและแรงดันน้ำยาที่วัดได้ยังต่ำอยู่ กระแสไฟที่ใช้ก็ยังไม่เกินพิกัด ก็จะเพิ่มน้ำยาเข้าไปอีกช้าๆจนกว่าจะวัดอุณหภูมิท่อดูดได้ต่ำกว่า 10 องศา แรงดันน้ำยาอยู่ในเกณฑ์ปกติและกระแสไม่เกิน

ช่างแอร์ทั่วๆไปที่วัดแค่แรงดันน้ำยาอย่างเดียว่าต้องได้แถวๆ 70 psig ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่าน้ำยาขาดจะต้องเติมเพิ่มทันที่โดยไม่ได้ดูปัจจัยอื่นๆประกอป อย่างนี้ผมว่าช่างมั่วแล้ว ช่างมักจะชอบให้น้ำยาขาดเพราะจะได้คิดเงินค่าเติมน้ำยาได้ ค่าล้างแอร์คิดแค่ 400 แต่ไปฟันค่าเติมน้ำยาซะ 1000 บาท งานนี้กำไรเละ

ค่าน้ำยาแอร์ R22 แบบทั่วๆไปเกรดต่ำตกกิโลละ 70-80 บาทในกทม ถ้าแบบของเกรดสูงๆก็กิโลละ 130-150 บาทแต่พวกเกรดสูงนี้ขายกันเป็นถัง ไม่ได้แบ่งขายเป็นกิโล แอร์ขนาด 12000 btu ถ้าปล่อยน้ำยาออกจนหมดแล้วเติมใหม่จนเต็มจะใช้น้ำยาไม่เกิน 1.2 กิโลกรัม ในกรณีที่น้ำยาแอร์ขาดเล็กน้อย การเติมเพิ่มมักจะใช้ไม่เกิน 1 ขีด คิดเป็นค่าน้ำยาจริงๆก็ 20 บาทมั้ง แต่ฟันกันซะ 600-1000 บาท ก็ฝากให้ระวังช่างแอร์บางคนทีใช้ข้ออ้างในการเติมน้ำยามาหาเงินเพิ่ม

Sunday, July 26, 2009

สถานที่ซื้ออุปกรณ์สำหรับ DIY แอร์

หลายคนถามว่าผมซื้ออุปกรณ์ที่ไหน เลยรวบรวมเอาไว้ให้ดูเป็นแนวทาง

น้ำยาแอร์แบบประหยัดไฟ cold22 ซื้อที่ www.coolman.co.th ใช้แล้วเย็นเร็วขึ้นกินไฟน้อยลงจริง

ผ้าใบล้างแอร์ซื้อที่ร้านอมร สาขา โลตัสบางกะปิ โดยสั่งให้เขาเบิกของมาจากสาขาบ้านหม้อให้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปบ้านหม้อ

clamp meterวัดกระแสไฟ เกจ์วัดน้ำยาแอร์ กับดิจิตอลเทอร์โมมิเตอร์แบบวัดอุณหภูมิได้ 2 จุดพร้อมๆกัน ก็ร้านอมรอีก

ปั๊ม vaccuum แบบสายพานนี่ซื้อของมือ 2 ที่คลองถมวันเสาร์ ได้มาแบบไม่ตั้งใจ ไปเดินเล่นแล้วได้มา

ร้านที่มีของครบทุกอย่างเลยก็ร้านโอกิที่บ้านหม้อนี่แหละ ไปที่เดียวได้หมดทุกอย่าง ราคาไม่แพง หาที่จอดรถยากหน่อย

หนังสือความรู้เกี่ยวกับแอร์บ้าน แอร์รถยนตร์ก็ที่ Se-ed เป็นตำราของ ปวส เล่มละ 100 กว่าบาท

จากนั้นก็ไปอ่านที่ http://rcw.ms/forums/showthread.php?p=9546442#post9546442 ซึ่งผมได้รับความรู้ด้านแอร์จากสมาชิกใจดีทุกท่นของที่นั่นมาเยอะ จากนั้นก็มาหัดเล่นเองกับแอร์ที่บ้าน

ซื้อแอร์ร้านไหนดี

คำถามที่คนมักถามกันประจำคือซื้อแอร์ร้านไหนดี สำหรับผมจะซื้อร้านนอกห้างสรรสินค้าเพราะได้ราคาถูกกว่าหลายพันบาท แถมฝีมือการติดตั้งก็เหมือนๆกันนั่นแหละ ผมจึงซื้อจากร้านในเน็ตซึ่งจะราคาถูกมาก ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว แต่ไม่มีบริการล้างแอร์ฟรีปีละ 2-3 ครั้ง ซึ่งนั้นก็ไม่ใช้่ปัญหาเพราะผมล้างแอร์เองอยู่แล้ว สะอาดกว่าช่างล้างแน่ๆ

ส่วนเรื่องฝีืมือการติดตั้ง ถ้าจะเอาแบบแน่นอน 100% คงแนะนำให้ซื้อเฉพาะตัวเครื่องจากร้านข้างนอก แล้วไปจ้างช่างจากศูนย์บริการอย่างไดกิ้น มิตซู ให้ติดตั้งให้ ค่าบริการแพงหน่อยแต่รับประกันฝีมือ

เรื่องแอร์ยี่ห้ออะไรดี ผมเองใช้ไดกิ้น ก็คงเชียร์ไดกิ้นเพราะราคาไม่แพง บริการหลังการขายดีมาก โทรเรียกปุ๊ปก็มาเร็ว ซ่อมจนเสร็จ จะซื้อแอร์จากร้านไหนก็ไม่สำคัญ ถ้ามีปัญโทรเข้าศูนย์บริการ ไดกิ้นจะส่งช่างมาแก้ให้จนเสร็จ ผมเคยมีัปัญหาช่างจากร้านที่ขายเครื่องให้ติดตั้งไม่ดี มีน้ำยาแอร์รั่วออก ช่างไดกิ้นก็มาแก้งานให้ แก้ปัญหาน้ำยารั่วแล้วเติมน้ำยาให้ใหม่จนเย็นกว่าเดิมอีกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่มีการซักถามใดๆทั้งสิ้น แบบนี้ถึงใช้แต่ยี่ห้อนี้มาตลอด บางคนบอกแอร์มิตซูก็ดีเช่นเดียวกันใครสนใจก็ลองดู ผมยังไม่เคยใช้บริการ เห็นว่าราคามันแพงกว่าไดกิ้นก็เลยไม่สน

ช่างติดตั้งจากร้านทั่วๆไปไม่ว่าจะร้านในห้างหรือนอกห้าง โดยปกติก็ฝีมือไม่ต่างกันหรอก พอๆกัน แต่ช่างบางคนก็ติดตั้งเรียบร้อยมากกว่าคนอื่นๆ ผมจะย้ำกับคนที่มาถามทุกครั้งว่าไม่ว่าจะเป็นช่างจากที่ไหนก็ตาม ให้เจ้าของบ้านคุมงานตอนติดตั้งทุกครั้ง จะให้เดินท่อแอร์ทางไหน ติดคอล์ยร้อนที่ใด คุยกันให้ชัดเจนก่อนลงมือติดตั้ง ที่สำคัญคือเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ก่อนจะปล่อยน้ำยาแอร์เข้าระบบ ต้องทำสญญากาศ(vacuum)หรือที่เรียกกันว่า แวคระบบก่อน 30 นาที โดยช่างจะเอาปั๊มดูดอากาศออกจากท่อแอร์ 30 นาทีก่อน เพื่อไล่ความชื้นในท่อแอร์ออกให้หมด ก่อนปล่อยน้ำยาเข้า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ความชื้นที่มีในท่อแอร์จะทำให้แิอร์ทำงานไม่เต็มที่ ถ้าชื้นมากๆอาจถึงขั้นแอร์ตันเพราะไอน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง

มีเยอะครับที่ซื้อแอร์จากร้านชื่อดังในห้างแล้วช่างมาติดตั้งฝีมือไม่ได้เรื่อง บางร้านมีช่างหลายชุด ช่างบางชุดฝีมือดี บางชุดฝีมือแย่ คน 2 คนซื้อแอร์ร้านเดียวกันแต่เจอช่างคนละชุดจะได้ผลงานต่างกันก็เป็นได้

เรื่องยี่ห้อแอร์นี่ก็สำคัญ โดยส่วนตัวผมจะเลือกเฉพาะยี่ห้อญี่ปุ่นเท่านั้น ของเกาหลีไม่เอา ยี่ห้อไทยแต่ใช้ชื่อญี่ปุ่นอย่าง S..J. นั่นก็ไม่เอาเพราะมีปัญหาเยอะพอพ้นปีที่ 1-2ไปแล้วแถมเสียงคอล์ยร้อนดังกระหึ่มตั้งแต่วันแรกที่ใช้งาน

บางคนเน้นของถูก จะซื้อแอร์มือสอง หรือแอร์ไม่มียี่ห้อจากร้านทั่วๆไปหรือที่คลองถม แอร์พวกนี้ราคาถูก เย็นเหมือนกัน แต่กินไฟเยอะแถมเราไม่แน่ใจในคุณภาพการใช้งานนานๆ แอร์ญี่ปุ่นแต่ละตัวที่ผมใช้อายุการใช้งานเกิน 10 ปีสบายๆโดยไม่เคยเสีย ไม่ต้องเติมน้ำยาเลย ค่าไฟก็ไม่แพง แต่แอร์โนเนมราคาเครื่องถูก กินไฟเยอะ เสียงดัง บิลค่าไฟทุกเดือนจะกวนใจคุณไปอีก 10 ปีข้างหน้า เลือกเอาแล้วกันว่าชอบแบบไหน

ถ้าอยากให้แอร์ประหยัดไฟแบบระบบไฮบริดจริงๆล่ะก็ไม่ต้องซื้อแอร์ใหม่หรอก แค่ไปซื้อ cooling pad มาติดตั้งกับคอล์ยร้อนของเดิม เท่านี้แอร์ของคุณจะหลายเป็นระบบไอบริด ประหยัดไฟไปได้เยอะแล้ว ค่า cooling pad พร้อมติดตั้งประมาณสัก 6พันกว่าบาท ลองค้น google ดูด้วยคำว่า แอร์ cooling pad จะเจอร้านขายเพียบเลย ส่วนแอร์ยี่ห้อ SJ ที่โฆษณาว่าประหยัดไฟมากนั้น หากคุณไปค้นกระทู้ในห้องชายคาของ pantip.com จะพบว่าโดนคนมาบ่นถึงปัญหาจำนวนมาก จึงไม่แนะนำให้ใช้

ผมซื้อแอร์จากร้าน www.promduang.com ลองเข้าไปดูราคาเองก็แล้วกัน ผมว่าราคาไดกิ้นเขาถูกมากๆ ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว อย่าลืมคุมงานช่างใหเดีๆ แนะนำให้ใช้ไดกิ้นอินเวอร์เตอร์ แบบน้ำยา R22 ที่ทำความเย็นดี เสียงเงียบ ประหยัดไฟมากๆ ที่บ้านใช้ daikin inverter ทุกตัวเลย

เวปที่จะเจอโฆษณาร้านขายแอร์เยอะๆก็มีที่
www.pantipmarket.com
www.thaisecondhand.com

เพิ่มเติม 22 พค 53: Google รายงานว่าบทความในหน้านี้เป็นบทความยอดนิยมของ blog ผมเลย คนส่วนใหญ่จะใช้ Google ค้นเจอ ผมเลยถือโอกาสเพิ่มข้อมูลในหน้านี้ให้สมบูรณ์ขึ้น คนที่ซื้อแอร์จะได้มีข้อมูลครบถ้วนในการตัดสินใจ

ตอนนี้มีแอร์ที่ใช้น้ำยาตัวใหม่ที่ชื่อ R410 ให้เลือกแล้วแต่ผมไม่แนะนำให้ใช้เพราะราคาแอร์แบบนี้จะสูงกว่าแบบที่ใช้น้ำยา R22 มาก เรายังมีน้ำยา R22 ใช้ไปอีกอย่างน้อยใน 10ปีข้างหน้าอย่างสบายๆ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเยอะเพื่อซื้ออนาคตที่ยังไกลมากกับน้ำยา R410 เรื่องนี้มีคนมาถามประจำในห้องชายคา ถามบ่อยๆจนผมเลิกตอบไปแล้ว เพราะแต่ละคนที่ถามนี่ไม่ได้ค้นกระทู้เดิมๆดูก่อนถามเลย

ขนาด BTU แอร์ที่ต้องเลือกใช้ ให้เอาพื้นที่ห้อง คูณด้วย 800 จะได้เป็น BTU แอร์ที่ต้องซื้อ เช่นห้องขนาด 4 x 3.5 เมตรจะมีพื้นที่ 14 ตรม คูณ 800 ได้ขนาดแอร์เป็น 11,200 btu ให้ซื้อแอร์ขนาด 12000 BTU

ขนาดมิเตอร์ไฟบ้าน กับขนาดแอร์: แอร์ 12000 btu จะกินกระแสไฟประมาณ 4.5-5.3 แอมป์ ถ้าบ้านขนาดเล็กจะใช้มิเตอร์ขนาด 5 แอมป์ซึงจ่ายกระแสได้สูงสุด 15 แอมป์ ดังนั้นมิเตอร์ 5 แอมป์จะติดแอร์ 12000 btu ได้เต็มที่ 2 ตัว และต้องระวังไม่เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายๆอย่างพร้อมกัน ไม่งั้นใช้ไฟเกินขนาด 15 แอมป์ที่มิเตอร์จะจ่ายได้ มิเตอร์จะพังแล้วคุณเสียเงินให้การไฟฟ้าอีกหลายพันบาทแน่ เช่น เปิดแอร์ 2ตัวก็ 10 แอมป์แล้ว หุงข้าวด้วยอีก 1.5 แอมป์ ปั๊มน้ำอีก 2 แอมป์ เป็น 13.5 แอมป์แล้ว ถ้าเปิด TV LCD 42 นิ้วก็อีก 1 แอมป์เป็น 14.5 แอมป์ เปิดไมโครเวฟด้วยอีก 3 แอมป์ เกิน 15 แอมป์ไปแล้ว มิเตอร์พัง ดังนั้นระวังให้ดีๆ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เปลี่ยนเป็นมิเตอร์ 15 แอมป์ที่จ่ายกระแสได้ถึง 45 แอมป์จะดีที่สุด

ในการติดตั้งแอร์ ต้องย้ำช่างด้วยว่าให้ต่อสายดินทุกครั้ง ไม่งั้นไฟที่รั่วนิดๆที่ตัวแอร์จะดูดให้สดุุ้งทุกครั้งที่ไปโดนส่วนที่เป็นโลหะ

สำหรับห้องแอร์ที่อยู่ชั้น 2 จะรับความร้อนจากใต้หลังคาแผ่ลงมาที่ฝ้าเต็มที่ ถ้าเอามือไปจับฝ้าจะพบว่าฝ้าร้อนมาก ในกรณีนี้เปิดแอร์ไป 2-3ชั่วโมงห้องก็ไม่ค่อยเย็น แถมแอร์เดินตลอดไม่ยอมตัด มันก็จะกินไฟมาก วิธีแก้คือให้ติดแผ่นฉนวนกันความร้อน stay cool หนา 6 นิ้วของตราช้าง โดยปูทับไปบนฝ้า มันจะป้องกันความร้อนไม่ให้เข้าไปในห้องแอร์ได้ คราวนี้ห้องแอร์จะเย็นเร็ว ประหยัดไฟไปได้มาก ฉนวนตัวนี้เป็นแผ่นกว้าง 60 ซม ยาว 4.0 เมตร หนา 6 นิ้ว เอามาปูบนฝ้าเอง หรือจะจ้างช่างมาปูให้ก็ได้

บ้านผมปูฉนวนทั้งหลัง ทำให้บ้านชั้น 2ไม่ร้อนในตอนกลางวัน ผมใช้แอร์ daikin inverter 11700 btu 3ตัว เปิด1 ตัวตอนกลางวัน 10.00 - 22.00 ก็ 12 ชม เปิดตอนกลางคืน 2ตัว 22.00-8.00 เปิดแบบนี้ทุกวัน ค่าไฟเดินมีค 53 แค่ 1350 บาท เมษา53 ร้อนขึ้นเลยเพิ่มเป็น 1630 บาท เดือน พค ก็คง 1650-1700 บาท ประมาณนี้แหละ อันนี้ต้องยกความดีให้ฉนวนกันความร้อน และัแอร์ inverter ที่มันกินไฟน้อยมาก

เพิ่มเติม 5 มีค 55 ราคาแอร์ไดกิ้น inverter รวมค่าติดตั้ง จากร้านใน กทม ที่ผมเคยซื้อ

..........รุ่น..................แบบ...............ขนาด.........ราคา
FTKE12GV2S/RKE12GV2S inverter#5 10,900 btu 22,600
FTKE15GV2S/RKE15GV2S inverter#5 14,300 26,400
FTKD18GV2S/RKD18GV2S inverter#5 17,700 28,800
FTKD24GV2S/RKD24GV2S inverter#5 20,800 42,800

เพิ่มเติม 21 เมษา 56 ราคาแอร์ไดกิ้น inverter รวมค่าติดตั้ง จากร้านใน กทม ที่ผมเคยซื้อ
http://www.promduang.com/daikinair.htm
MODEL
ระบบ / เบอร์
BTU
ราคาฟรีค่าติดตั้ง
FTKD09GV2S/RKE09GV2S
inverter#5
8,500
18,000
FTKD12GV2S/RKE12GV2S
inverter#5
10,900
22,600
FTKD15GV2S/RKE15GV2S
inverter#5
14,300
26,400
FTKD18GV2S/RKD18GV2S
inverter#5
17,700
28,800
FTKD24GV2S/RKD24GV2S
inverter#5
20,800
42,800
FTKD28GV2S/RKD28GV2S
-
23,200
46,900


ถ้าอ่านแล้วอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก็เมลล์มาคุยกันได้ที่่ y u t c68@yahoo.... com... เวลาจะส่งเมลล์ก็ลบ ช่องว่าง กับลบ ..... ที่เกินออกไปด้วย

Sunday, July 19, 2009

ผมซื้อแอร์ที่ไหน

ผมโดนถามประจำว่าซื้อแอร์ที่ไหนราคามันถึงได้ถูกนัก ผมซื้อจากร้านในอินเตอร์เน็ตชื่อร้านพรหมดวง www.promduang.com ผมไม่ได้รู้จักับร้านนี้เลย แต่ซื้อกับเขามาหลายตัวแล้วเพราะราคาเขาถูกมากๆแถมรวมค่าติดตั้งแอร์แล้วด้วย แนะนำให้คนอื่นที่ถามมาให้ไปซื้อที่ร้านนี้มาเป็นสิบๆตัวแล้ว ก็คงพอใจกับราคาของทางร้าน ร้านนี้มีข้อเสียอยู่ 1 อย่างคือคนรับโทรศัพท์พูดจาห้วนๆ หลายคนบอกว่าพูดไม่เข้าหู พูดกวนๆ อันนี้ต้องบอกว่าจริงครับ ใครจะซื้อคงต้องทำใจ วิธีการซื้อคือต้องตัดสินใจเลือกรุ่น ยี่ห้อที่จะซื้อให้เรียบร้อย แล้ว fax แผนที่บ้านคุณ ระบุรุ่นยี่ห้อที่จะซื้อ ราคาที่ดูจากในเว็บ วันที่จะนัดติดตั้ง เบอร์โทรกลับ แล้วfax ให้ร้านเขา จากนั้นอีก 1 ชม ก็โทรไปถามว่าได้หรือยัง จะมาติดตั้งได้วันไหน แค่นี้ก็แทบจะไม่ต้องคุยกับเขามาก จะได้ไม่มีปัญหา ผมใช้วิธีนี้ก็ใช้ได้ดี

เพิ่มเติม 22 พค 53:
หลายคนจะกลัวว่าจะโดนร้านย้อมแมวเอาแอร์ตัวเก่ามาให้ หรือเอาแอร์ำไม่ดีมาให้ สำหรับร้านพรหมดวงนี่ผมซื้อมานับสิบตัว ทั้งของที่บ้านและของญาติพี่น้อง ไม่เคยมีปัญหาสักตัว แอร์ทุกตัวที่มาใหม่เอี่ยม แกะกล่องกันต่อหน้าเลย ได้รับใบรับประกันจากศูนย์ไดกิ้นทุกครั้ง แอร์ไดกิ้นรับประกัน 1ปีเต็ม ถ้าซื้อมาแล้วมีปัญหาอะไร ให้โทรเข้าศูนย์ไดกิ้นได้เลย เขาจะนัดวันมาแก้ปัญหาภายใน 1-2วันเท่านั้น ศูนย์ไดกิ้นเขาไม่สนด้วยว่าเราซื้อแอร์จากร้านไหน และไม่เคยเกี่ยงให้ไปตามร้านที่ซื้อมาซ่อมด้วย ช่างจากศูนย์ใหญ่มาซ่อมเองทุกครั้ง มาทีเดียวซ่อมเสร็จทุกครั้ง จะอาการหนักเบาอย่างไรก็ไม่เคยคิดเงินเพราะยังอยู่ในรับประกัน 1ปี มีอยู่ครั้งหนึ่งผมสั่งแอร์ไดกิ้นรุ่นธรรมดา ราคา 12000 บาทจากร้านพรหมดวง ส่งทางบริษัทขนส่งไำปให้บ้านญาติที่ อำเภอหนองบัวแดงจังหวัดชัยภูมิ ให้เขาไปจ้างช่างที่นั่นติดตั้งให้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะแอร์ใน กทมท ถูกกว่ากันหลายพันบาท ปรากฏว่าติดตั้งไปแล้วแอร์ไม่เย็น ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าเพราะแอร์ไดกิ้นไม่ดีหรอก คิดว่าช่างติดตั้งมีปัญหาแน่ๆ ก็โทรหาศูนย์ไดกิ้นที่ กทม ปรึกษาอาการ ศูนย์ใหญ่ไดกิ้นที่ กทม ก็ติดต่อไปที่ตัวแทนไดกิ้นที่ชัยภูมิไปดูให้ ปรากฏว่าช่างที่ติดตั้งทำไม่ดีจริงๆจนทำให้น้ำยารั่วออกไปเยอะ และงานหยาบมาก ช่างจากศูนย์ชัยภูมิเลยต้องรื้อติดตั้งใหม่ คราวนี้แอร์เย็นหายห่วงเลย และก็เหมือนเคยคือไม่คิดค่าบริการ แต่เนื่องจากช่างต้องเดินทางมา 50กิโล ข้ามเขามาหลายลูก ก็เลยมีค่าเดินทาง 500-600 บาท ซึ่งก็เป็นราคาที่ถูกมากๆ ก็ฝากไว้ว่าทำไมผมจึงแนะนำให้ซื้อแต่ไดกิ้นเท่านั้น บริการหลังการขายเขาเยี่ยมจริงๆ

ตอนต่อไปจะมาบอกว่าต้องคุมงานติดตั้งอย่างไร

Friday, July 17, 2009

ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับแอร์ ถามกันประจำ รวบรวมไว้ตอบทีเดียวเลย




ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับแอร์ ถามกันประจำ รวบรวมไว้ตอบทีเดียวเลย

ผมไม่ได้ขายแอร์ ไม่ได้ทำงานที่ไดกิ้น อยากแนะนำความรู้ทั่วไปที่คุณต้องใช้ในการซื้อแอร์

ขนาดของแอร์ BTU = พื้นที่ห้อง(ตรม) x 800 คิดได้กี่ BTU ก็ห้ามซื้อต่ำกว่านี้

ถ้าห้องโดนแดดตอนบ่ายตลอดบ่าย ความร้อนสะสมในกำแพงจะมาก ห้องร้อน แอร์เย็นช้า กินไฟ ให้ทาหางบังแดดไม่ให้โดนกำแพง ถ้าบังไม่ได้เวลาซื้อแอร์ ต้องเอาขนาดพื้นที่ห้อง คูณ 1000 ถึงจะได้ขนาดแอร์ที่เหมาะสม

ตำแหน่งติดตั้งคอล์ยร้อนให้หลีกเลี่ยงทิศตะวันตกเพราะโดนแดดส่องมาก ถ้าเปิดแอร์ตอนกลางวันแอร์จะทำงานหนัก ให้หาตำแหน่งที่โดนแดดน้อยที่สุด ลมพัดผ่านได้ดี ดูให้แน่ใจว่าลมร้อนที่พ่นออกจากแอร์ไม่ควรย้อนกับทิศทางลมที่พัดเข้าหาคอล์ยร้อน เพราะจะกลาวเป็นลมร้อนกลับมาเข้าแอร์อีกครั้ง ดีที่สุดคือลมร้อนพ่นออกมานี่อยู่ในทิศทางที่ลมพัดพอดี ลมเย็นจะเข้ามาระบายความร้อนให้แอร์ และพัดความร้อนออกไป

อย่าติดคอล์ยร้อนในตำแหน่งที่ต้องเสี่ยงตายทำงาน เพราะมันดูแลรักษายาก

ถ้าเป็นห้องชั้น 2 หรือชั้นบนสุดของตึกแถว จะมีปัญหาความร้อนเข้ามาทางฝ้าเพดานมาก แอร์ทำงานหนัก ให้พิจารณาติดตั้งฉนวนกันความร้อนเหนือฝ้าของ stay cool ตราช้างเอาแบบหนา 6 นิ้ว จะกันความร้อนได้ชงัด

ฉนวนกันความร้อน stay cool 1 ม้วน มีความยาวม้วนละ 4 เมตร กว้าง 0.6 เมตร หนา 6 นิ้ว คิดเป็นพื้น 2.4 ตรม/ม้วน บ้านคุณมีพื้นที่ฝ้าเท่าไรก็หารด้วย 2.4 จะได้จำนวนม้วนที่ต้องซื้อ

ราคาม้วนละ 450 บาท บางที่ก็ลดราคาลงมาแถวๆ 400 บาท/ม้วน เช็คกับร้านแถวบ้านดู ถ้าจะจ้างช่างปูก็ค่าแรง ตรม ละ 35 บาท ขั้นต่ำ 50 ตรม

ผมเชียร์แอร์ไดกิ้นเพราะ ใช้ดีไม่มีปัญหา ศูนย์บริการดีมาก ช่างมาเร็ว อะหลั่ยหาง่าย ราคาแอร์ไม่แพง โดยทั่วไปจะถูกกว่ามิตซูเล็กน้อย เสียงแอร์ทั้งคอล์ยร้อน คอล์ยเย็นเงียบมาก แต่บางคนชอบมิตซูก็เอาเลย แอร์ดีเช่นเดียวกัน

ไม่แนะนำให้ซื้อแอร์มือสอง แอร์ไม่มียี่ห้อ แอร์ไทยแต่ชื่อยี่ปุ่นแต่โฆษณาเยอะ แอร์จากตลาดมืดคลองถม เพราะปัญหามีเยอะ มีคนมาบ่นในเว็บบ่อยๆ แอร์ใหม่ 1 ตัวอายุการใช้งานเกิน 10ปีสบายๆ กัดฟันซื้อของดี เพิ่มเงินอีกนิดแล้วจะสบายใจไปอีก 10 กว่าปี แอร์ toshiba ที่ผมใช้ตอนนี้อายุ 13 ปีแล้ว ยังทำงานได้ดี

แอร์ SJ อาจดูดีตอนปีที่ 1 พอปีที่ 2 3 นี่ต้องลุ้นระทึกแล้วว่าจะโดนปัญหาอะไรบ้าง ที่แน่ๆคือเสียงคอล์ยร้อนที่ดังกระหึ่มตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดใช้งาน ถ้าติดที่ห้องนอนด้วยจะรำคาญมากๆเพราะ กลางคืนมันเงียบ เสียงแอร์ตัด ต่อทีนี่รู้ชัดเลย หนวกหูมากๆ เวลามีใครสักคนมาตั้งกระทู้บ่นแอร์ยี่ห้อนี้จะมีคนเข้ามาร่วมแจมมากๆเลย ถ้าไม่เชื่อผมลองค้นกระทู้เก่าๆด้วยยี่ห้อแอร์ดูแล้วจะรู้

เอาราคาพร้อมติดตั้งจากร้านใน pantipmarket.com ไปดู

แอร์ daikin ธรรมดา คอมแอร์จะตัด ต่อ เป็นระยะ อุณหภูมิในห้องจะไม่คงที่ จะมีปัญหาเดี๋ยวหนาวไป สักพักก็ร้อนไป สลับกันไปอย่างนี้ตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องปกติของแอร์ระบบธรรมดา
รุ่น เบอร์ BTU ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว
FTE09JV2S+RE09JV2S... 5......8900......13,200
FTE12JV2S+RE12JV2S....5......12,300....15,500


FT24GV2S+R24GV2S......5.....22,530......38,700
FT28GV2S+R28GV28 .....4.....24,500......42,700

แอร์ daikin inverter จะประหยัดไฟกว่าแอร์ธรรมดา 20-30%โดยประมาณ เสียงเงียบมาก ไม่มีการตัดต่อคอมแอร์ รักษาอุณหภูมิห้องได้คงที่ แต่ลมแอร์ที่ออกมาจะไม่เย็นจัดเหมือนแอร์ธรรมดา เหมาะมากสำหรับห้องนอน เพราะเสียงเงียบและไม่เกิดการหนาวๆร้อนๆตอนคอมแอร์ตัดต่อ ถ้าชอบลมแอร์ให้ออกมาเย็นๆแบบแอร์ธรรมดา ให้ตั้งที่ 23-24 องศาลมจะเย็นฉ่ำ แต่ก็ยังประหยัดไฟกว่าแอร์แบบธรรมดาตั้งที่ 25 องศา

ราคาแอร์ inverter
รุ่น เบอร์ BTU ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว
FTKE12GV2S/RKE12GV2S.....5....10,900....24,500
FTKE15GV2S/RKE15GV2S.....5....14,300....28,500
FTKD18GV2S/RKD18GV2S.....5....17,700....31,400
FTKD24GV2S/RKD24GV2S.....5....20,800....45,700
FTKD28GV2S/RKD28GV2S..........23,200....50,600

บอกราคาให้เป็นแนวทาง จะได้ไม่ต้องซื้อของแพงกัน

เวลาติดตั้งแอร์ ให้ติดแอร์ในตำแหน่งที่พ่นลมไปทางด้านยาวของห้อง เช่นห้องขนาด 4x6 เมตร แอร์ต้องอยู่ด้าน 6 เมตรแล้วส่งลมไปตามยาว

ถ้าเป็นห้องนอน หากเป็นไปได้ติดแอร์ให้พ่นลมโดนบริเวณที่นอน แล้วตั้งให้ส่ายไปมา ทำให้รู้สึกเย็นมากโดยไม่ต้องตั้งแอร์ให้ทำงานที่อุณหภูมิต่ำๆให้เปลืองไฟ

ที่เชียร์ไดกิ้นเพราะ ไม่ว่าจะซื้อร้านไหน ถ้าแอร์มีปัญหาในช่วง 1 ปีแรก โทรตามศูนย์ไดกิ้นได้เลย ช่างมาเร็ว ไม่ต้องไปคุยกับร้านที่คุณซื้อเลย ดังนั้นจะซื้อร้านไหนก็ไม่สำคัญ เน้นที่ราคาถูก ช่างติดตั้งทำงานเรียบร้อย

บอกช่างด้วยว่าให้แวคอากาศออกจากระบบ 30 นาทีก่อนปล่อยน้ำยา ห้ามใช้น้ำยาแอร์ไล่อากาศเด็ดขาด

อย่าลืมให้ช่างต่อสายดินให้แอร์ด้วย ไม่งั้นไฟจะดูดเวลาไปโดนส่วนที่เป็นโลหะ

การหุ้มฉนวนท่อแอร์ทั้ง 2 ท่อต้องหุ้มแยกกัน แอร์ใหม่เดี๋ยวนี้จะให้ท่อมาแค่ 4 เมตร ถ้าใครต้องเดินท่อยาวกว่านั้นต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่พยายามให้ท่อสั้นที่สุด ยิ่งท่อยาวแอร์จะเสียกำลังในการทำความเย็นไป

เวลาติดตั้งแอร์ให้ด้านบนของคอล์ยเย็นต่ำกว่าเพดาน 1 ฟุต เวลาล้างจะล้างง่าย

คอล์ยร้อนให้ติดตั้งในที่ที่สะดวกต่อการติดตั้งและซ่อมบำรุง เวลาล้างจะล้างได้เอง

เวลาช่างมาล้างแอร์ สั่งเลยว่าห้ามวัดน้ำยา ห้ามเปิดจุกเติมน้ำยาเด็ดขาด และห้ามเติมน้ำยา แอร์เย็นดีอยู่แล้ว ไม่งั้นช่างจะมั่วนิ่มหาเงินเพิ่มด้วยการเติมน้ำยาทั้งที่ไม่จำเป็นเลย

แอร์เป็นระบบปิด น้ำยาจะไม่รั่วไหลไปไหน แอร์ที่บ้านผมอายุ 12 ปียังเย็นโดยไม่ต้องเติมน้ำยาเลย

ไม่แนะนำแอร์ SJ เพราะเห็นแต่กระทู้บ่นทั้งนั้น ที่แน่ๆคือเสียงดังมาก บางคนก็บ่นว่าช่างตามยาก แก้ปัญหาไม่ได้

ไม่แนะนำแอร์เกาหลี เพราะราคาสูสีหรือแพงกว่าแอร์ญี่ปุ่น แต่แอร์ญี่ปุ่นแน่นอนกว่าทั้งบริการหลังการขาย อะหลั่ย คุณภาพ

บ้านที่ใช้มิเตอร์ไฟ 5 แอมป์ติดแอร์ 13000 btu ได้ 1 ตัวเท่านั้น มิเตอร์จ่ายกระแสได้เต็มที่ 15 แอมป์ แอร์ 13000 btu กินกระแสไฟแถวๆ 5 แอมป์ แต่ต้องเผื่อเวลาคุณใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆด้วย

บ้านที่ใช้มิเตอร์ไฟ 15 แอมป์ติดแอร์ 13000 btu ได้หลายตัว มิเตอร์จ่ายกระแสได้เต็มที่ 45 แอมป์ แอร์ 13000 btu 1 ตัวกินกระแสไฟแถวๆ 5 แอมป์ บวกกระแสไฟที่แอร์ทุกตัวใช้ บวกกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆด้วย

ช่วงนี้อากาศร้อนมาก แอร์จะเย็นช้ากว่าปกติ ไม่ได้หมายความว่าน้ำยาแอร์ขาดอย่างที่ช่างแอร์บางคนอ้างจะหาเรื่องเติมน้ำนาแอร์กินเงินคุณโดยไม่จำเป็น

แอร์ที่ติดตั้งแล้วมีน้ำไหลออกมามากทางท่อน้ำทิ้ง หรือมีหยดน้ำเกาะที่ท่อแอร์นั้นเป็นอาการที่ดี แสดงว่าแอร์มันเย็นมาก น้ำถึงเกาะท่อแอร์ ส่วนน้ำทิ้งออกมามากแสดงว่าในห้องมีความชื้นสูง แอร์จะดูดความชื้นออกจากห้องจนหมด แต่ห้องไม่ควรชื้นมาก เพราะแอร์จะทำงานหนักและกินไฟกว่าปกติ

การล้างแอร์ให้ล้างก็ต่อเมื่อพัดลมกรงกระรอกในคอล์ยเย็นตัน ไม่ได้ระบุว่าต้องล้างทุก 3-4 เดือน ตันเมื่อไหร่ก็ล้าง ถ้าเปิดแอร์บ่อยมันตันเร็วก็ล้างก่อน 3 เดือน ถ้าไม่ค่อยเปิด แอร์ตันช้า 5-6 เดือนค่อยล้างก็ได้

เวลาล้างแอร์ใช้น้ำเปล่าล้างก็พอ ไม่ต้องใช้โฟมกระป๋องราคา 200 กว่าบาทนั่นหรอก เปลืองเงิน แล้วก็ไม่ได้สะอาดกว่ากันเลย

เวลาฉีดน้ำล้างคอล์ยร้อน ให้ฉีดจากด้านในแผงระบายความร้อน ออกมาด้านนอก ฉีดจากด้านบนแผงเฉียงลงล่างแผง ห้ามฉีดอัดจากนอกแผงเข้าในแผงเพราะจะดันฝุ่นให้ติดเข้าไปลึก ล้างออกยาก

อย่าเรียกช่างแอร์ที่ชอบติดสติ๊กเกอร์เกลื่อนไปหมดทุกบ้าน ประเภทล้างแอร์ทีละ 300 บาท เพราะพวกนี้จ้องจะฟันคุณ ล้างแอร์ไม่สะอาด มาถึงก็จ้องจะเติมน้ำยาอย่างเดียว ถ้าคุณไม่เติม เขาจะแกล้งปล่อยน้ำยาออกทำให้แอร์ไม่เย็น พอโทรไปบ่นก็บอกว่าแอร์รั่ว จะคิดค่าซ่อมแพงๆ น้ำยาแอร์ที่ช่างพวกนี้ใช้เป็นแบบราคาถูก เกรดต่ำ มีความชื้นสูง เต็มแล้วแอร์ไม่เย็นหรือเย็นน้อยลง แต่วัดแรงดันแล้วจะพบว่าแรงดันน้ำยาแอร์พอดี

แรงดันน้ำยาแอร์ในท่อ Low presssure ปกติจะอยู่ช่วง 68-75 psi ช่วงนี้อากาศร้อนมาก แรงดันน้ำยาอาจขึ้นสูงกว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำยาแอร์เกิน แล้วไปปล่อยออก จริงๆแล้วน้ำยาแอร์มันพอดีมาจากโรงงานแล้ว ที่วัดความดันได้สูงเพราะอากาศร้อน ไม่ต้องปล่อยน้ำยาออก

ถ้าแอร์มีน้ำยาน้อย หรือน้ำยาขาดไป อาการคือแอร์ไม่ค่อยเย็น ถ้าไปดูท่อแอร์นอกบ้านจะพบว่าน้ำแข็งเกาะท่อแอร์เลย แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าแอร์ไม่ตัน ล้างพัดลมกรงกระรอกสะอาดแล้ว เพราะแอร์ตันก็ไม่เย็นเช่นเดียวกัน

แอร์เก่าๆอายู 15-20 ปีกินไฟมาก เสียงดัง ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนใหม่ ราคาตอนนี้ก็ไม่ได้แพงอะไร ประหยัดค่าไฟไปเยอะ

ตั้งอุณหภูมิเท่าไรที่แอร์ประหยัดที่สุด ทางการรณรงค์ให้ตั้งที่ 25 ิงศา ไม่ได้หมายความว่าที่ 25 องศาประหยัดที่สุด เพียงแต่ 25 องศาเป็นอุณหภูมิที่เรากำลังเย็นดีและแอร์ก็กินไฟไม่มากจนเกินไป ถ้าอยากประหยัดไฟต้องตั้งอุณหภูมิให้สูงที่สุดเท่าที่ยังรู้สึกเย็สบายอยู่ อาจตั้ง 27 หรือ 28 องศาแล้วเปิดพัดลมแบบตั้งพื้นช่วย พัดลมกินไฟน้อยกว่าแอร์มาก เปิดพัดลม 1 ตัวกับแอร์ที่ 28 องศารับรองว่าค่าไฟถูกกว่าตั้งที่ 25 องศามาก

การจะบอกว่าแอร์เย็นฉ่ำ เย็นชืด ไม่เย็น นั้นไม่ควรเอาความรู้สึกมาวัด ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์มาวัด หาซื้อเทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิตอล วัดอุณหภูมิได้ 2 จุดพร้อมกัน หาได้ที่ร้านอมรทุกสาขา ราคา 400-500 บาทแล้วแต่รุ่นที่คุณเลือก แอร์ระบบธรรมดาที่บอกว่าเย็นปกติ ต้องเปิดแอร์ไว้สัก 30 นาทีแล้วเอาหัววัดอุณหภูมิของเทอร์โมมิเตอร์ ไปวัดที่ช่องพ่นลมออกแอร์ ต้องวัดได้ช่วง 8-9 องศา อย่างนี้เรียกว่าแอร์ปกติ เย็นฉ่ำ ถ้าวัดได้เกิน 13 องศาอาจเป็นได้ตั้งแต่ ห้องร้อนจัด โดนแดดตอนบ่าย แอร์ตัวเล็กไปสู้ความร้อนไม่ไหว น้ำยาแอร์ขาด ไม่ได้ล้างแอร์นานคอล์ยร้อนตัน พัดลมตันพ่นลมไม่ออก ดังนั้นก่อนวัดอุณหภูมิวครมั่นใจว่าล้างแอร์สะอาด แอร์ระบายความร้อนได้ดี

ระวังน้ำยาแอร์บ้านคุณภาพต่ำ เติมแล้วแอร์ไม่เย็น




เมืองไทยอากาศร้อนทั้งปี โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง กทมที่มีปัญหาเรื่องปรากฏการโดมความร้อนที่ทำให้ในเมืองอากาศร้อนกว่าปกติ บ้านส่วนใหญ่ก็ติดแอร์กันทั้งนั้น พอใช้แอร์ไปสักระยะก็จะมีปัญหาแอร์ตัน ลมไม่ออก หรือแอร์เย็นน้อย เราก็จะเรียกช่างมาล้างแอร์ โดยทั่วไปค่าล้างแอร์ประมาณ 400-500 บาทซึ่งราคานี้ก็ถือว่าถูกมากแล้ว ช่างไม่ค่อยได้อะไรเลย แล้วช่างจำนวนมากที่ขาดจรรยาบันในงานช่างก็มักเพิ่มรายได้ด้วยการหาเรื่องเช็คน้ำยา แล้วเป็นอะไรก็ไม่รู้ น้ำยามันจะขาด ต้องเติมเพิ่มทุกทีไป ค่าเติมก็ปอนด์ละ 15-20-30 บาทแล้วแต่จะโดนฟันขนาดไหน

เวลาช่างต่อ เกจ์วัดเข้ากับแอร์ จะมีน้ำยารั่วออกมาทุกครั้ง จะรั่วมาก รั่วน้อยก็แล้วแต่ว่าช่างทำเร็วแค่ไหน ตอนปลดเกจ์วัดออกจากแอร์ก็จะรั่วอีกครั้ง โดนวัดน้ำยาบ่อยๆ แรงดันน้ำยาตกแน่ๆ ทางที่ดีบอกช่างที่มาล้างแอร์ทุกครั้งว่า ห้ามวัดน้ำยาแอร์ ห้ามเปิดจุดปิดรูวัดน้ำยาเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวมีแอบปล่อยน้ำยาอีก

ที่ต้องห้ามเพราะผมโดนมาแล้ว ช่างแอบปล่อยน้ำยา จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ คนที่บ้านไม่รู้ ไปเรียกช่างแิอร์ประเภทที่ติดสติ๊กเกอร์เกลื่อนตามหมู่บ้านว่า ล้างแอร์ครั้งละ 300 บาท ปรากฏว่าพอมาแล้วล้างแบบลวกๆ คอล์ยร้อนก็ไม่ล้าง จ้องจะวัดน้ำยาท่าเดียว พอวัดแล้วก็บอกว่าขาด ต้องเติม ปอนด์ละ 30 บาท พอเขาบอกไม่เติม ได้เรื่องเลย คืนนั้นแอร์ไม่เย็น คิดดูสิว่าแอร์ผมไม่ต้องเติมน้ำยามา 12 ปี พอช่างห่วยๆมาครั้งเดียวน้ำยาหายเกือบหมด พอโทรไปถามก็บอกว่าแอร์รั่วมั้ง ค่าซ่อม 1800 บาท คืิอจะฟันค่าซ่อมให้ได้ สุดท้ายผมต้องขนอุปกรณ์มาเติมน้ำยาเองให้เหนื่อยอีก เติมเสร็จเย็นเหมือนเดิม ค่าน้ำยาไม่ถึง 100 บาท

แอร์ทำงานโดยปกติ จะวัดแรงดันน้ำยาได้แถวๆ 68-70 ปอนด์ และแอร์เป็นระบบปิด หมายถึงน้ำยามันจะไม่รั่วไปไหน ถ้าช่างไม่แอบไปปล่อยตอนวัดน้ำยา แอร์ที่บ้านผมอายุ 12 ปีไม่เคยต้องเติมน้ำยา ไม่เคยวัดน้ำยา มันก็เย็นสู้อากาศร้อนได้สบายๆ

น้ำยาถูกๆที่ช่างแอร์ทั่วไปใช้ราคา กิโลละ 50-70 บาท น้ำยาพวกนี้มีปัญหาคืออาจมีสารปลอมปนสูง มีความชื้นในน้ำยาสูง ความชื้นและสารปลอมปนจะทำให้แอร์ไม่เย็น หรือถ้าชื้นมากๆถึงกับทำให้วาล์วฉีดน้ำยาตัน เพราะความชื้นไปจับตัวเป็นน้ำแข็งในระบบแอร์เลย ถ้าวาล์วตัน ความเย็นก็ไม่เหลือล่ะ

ไม่มีวิธีดูน้ำยาแอร์ปลอม หรือดูว่าน้ำยามีความชื้นสูงไหม เพราะมันต้องใช้เครื่องตรวจสอบน้ำยาเครื่องละหลายแสนบาท ส่วนใหญ่ที่จะรู้ว่าโดนน้ำยาแอร์ปลอมคือ เติมไปจนเต็มแล้วแอร์ไม่เย็น หรือเย็นน้อยนั่นล่ะ โดนเข้าไปแล้ว

ตอนนี้มีน้ำยาแอร์ R22 จากจีนซึ่งมีราคาถูกทะลักเข้ามามาก ช่างแอร์ชอบเพราะราคาถูกดี กิโลละ 50 บาทมั้ง แต่มีความชื้นและสารปลอมปนสูงมาก ถ้าขืนเติมเข้าไปปนกับน้ำยาแท้ๆจากโรงงานล่ะก็ แอร์จะทำความเย็นได้ลดลง กินไฟมากขึ้น

น้ำยา ดีๆ ของแท้กิโลละ 150 บาท มีช่างจำนวนไม่มากนักใช้ ช่างพวกนี้ฝีมือดี รู้ขั้นตอนในการทำงาน ราคาการให้บริการสูง และหาตัวช่างแบบนี้ยากหน่อย

ฝากไว้สำหรับคนที่จะล้างแอร์งวดหน้า อย่าเติมน้ำยาซี้ซั้วเด็ดขาด

รถ Hybrid ประหยัดน้ำมัน รักษาสภาพแวดล้อมจริงหรือ



ตอนนี้รถ Camry hybrid กระแสกำลังมาแรง มันดูเหมือนจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อม คิดดูดีๆอีกที

ราคา แพงกว่ารุ่นธรรมดา 1 แสนบาท โดยปกติกว่าจะค้าขายได้กำไร 1 แสนบาท คุณอาจต้องขายของไปถึง 5 แสนบาท - 1 ล้านบาท กว่าที่ลูกค้าของคุณจะหาเงิน 5 แสน - 1 ล้านนั้นมาซื้อของของคุณเขาต้องทำอะไรไปบ้าง แล้วกิจกรรมเหล่านั้นมันใช้พลังงานไปเืท่าไำร ปล่อยก๊าซ Co2 เท่าไร ผมว่ามันมากกว่าที่เจ้ารถ hybrid มันช่วยลดการปล่อย Co2 ได้ใน 5-10 ปีด้วยซ้ำ

สมมุติว่า batt มีอายุ 8-9 ปี เปลี่ยนใหม่อีีก 1 แสน กว่าคุณจะหาเงินอีก 1 แสนนั่นได้ จะต้องทำกิจกรรมต่างๆที่จะปล่อย Co2 มากอีกเท่าไร กิจกรรมเหล่านั้นจะใช้พลังงานหรือใช้น้ำมันไปมากกว่าที่เจ้า hybrid มันช่วยประหยัดอีก

batt ที่เปลี่ยนไปตอน 8-10 ปีก็จะโดนไป recycle แล้วกระบวนการนี้มันก็ใช้พลังงานไฟฟ้า ใช้น้ำมัน ปล่อย Co2 ออกมากอีก ซึ่งรถธรรมดาจะไม่มี batt ตัวนี้ให้ต้อง recycle

รถ hybrid มี 2 ระบบในคันเดียวกัน ทั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องยนตร์ ค่าบำรุงรักษาต้องแพงกว่ารถที่ใช้เครื่องยนตร์อย่างเดียวแน่ๆ คุณต้องจ่ายเงินค่าบำรุงรักษาที่แพงขึ้น คุณต้องทำกิจกรรม ทำงานต่างๆเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าบำรุงรักษาที่แพงขึ้น ใช้พลังงานไปมากขึ้น ปล่อย Co2 มากขึ้นไปอีก

ถ้าอย่างซวยๆใช้ไป 8 ปีแล้วแผงวงจรควบคุมระบบ hybrid หรือแผง inverter พังน่ะ 2-3 แสนบาท กว่าจะหาเงินก้อนนี้ได้ต้องทำกิจกรรมอีกมากต้องใช้พลังงานไปอีกเยอะ ปล่อย Co2 อีกแยะ เพื่อเอาเงินมาซื้อแผงควบคุม

ลองดู Total cost of ownership ของรถ Hybrid ใน 10 ปีดูดีๆ ซึ่งจะประกอปไปด้วย
1 ค่ารถ hybrid ที่แพงกว่า camry ธรรมดา 1 แสน
2 ค่าน้ำมัน 10 ปี
3 ค่าบำรุงรักษารถ 10 ปี(ทั้งระบบเครื่องยนตร์ ระบบ hybrid)
4 ค่า batt hybrid 1 ชุด
5 ค่าแผงควบคุมระบบ hybrid
6 ค่าประกันภัยรถ ที่จะแพงกว่าธรรมดา เพราะราคารถมันแพง

เชื่อ ได้ว่าค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดมันจะสูงกว่า camry ธรรมดา พอมันสูงกว่าคุณต้องหาเงินมากขึ้นเพื่อมาจ่าย คุณต้องทำกิจกรรมต่างๆเพื่อหาเงินมากขึ้น กิจกรรมเหล่านั้นจะใช้พลังงานมากขึ้น ปล่อย Co2 มากขึ้น ทำให้โดนรวมแล้วการใช้รถ Hybrid เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สร้าง Co2 มากขึ้น

ถ้าดูแต่ว่ารถ hybrid มันกินน้ำมันน้อยลงอย่างเดียว ทำให้ปล่อย Co2 น้อยลง เลยดูเหมือนว่าคนใช้รถประเภทนี้ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม ลดการปล่อย Co2 ลง ซึ่งนี่เป็นภาพที่บริษัทรถพยายามสร้างขึ้นมาให้คนยอมรับและยอมจ่ายแพงขึ้น แต่บริษัทรถบอกความจริงไม่หมด เงินที่คุณต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อใช้รถ Hybrid ทำให้เกิดการใช้พลังงานขึ้นอย่างมาก ปล่อย Co2 มากขึ้น

รถ HYbrid มันแค่ย้ายจุดใช้พลังงานจุดปล่อย Co2 จากรถของคุณ ไปเพิ่มที่กิจกรรมต่างๆที่คุณต้องทำมากขึ้นเพื่อหาเงินมาจ่ายให้รถ Hybrid

คิดดีๆ มองในภาพกว้างทั้งระบบ อย่าไปมองที่ตัวรถอย่างเดียว

การ ใช้รถไฟฟ้าล้วนๆก็ทำนองเดียวกัน รถไฟฟ้ามันไม่ปล่อย Co2 ก็จริง แต่มันชาร์จไฟจากไฟบ้าน แล้วการผลิตไฟบ้านมันก็ใช้พลังงาน ปล่อย Co2 เหมือนกัน แถมไฟฟ้าที่ผลิตได้จะสูญเสียในสายส่งกว่าจะมาถึงบ้านคุณ สูญเสียจากการชาร์จเข้าไปในแบต ไฟฟ้า 100 ส่วน หายไปในสายส่ง 5 ส่วน อาจจะชาร์จเข้า batt ได้ 80 ส่วนเท่านั้น อีก 15 ส่วน loss ไปในระหว่างการชาร์จ แล้วไฟที่อยู่ใน batt 80 ส่วนจะแปลงกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้สัก 70 ส่วนก็เก่งแล้ว เกิดสูญเสียในระบบ control อีก 10 ส่วน จากนั้นมอเตอร์รับพลังงาน 60 ส่วนที่เหลือไปแปลงเป็นพลังงานกลได้สัก 45-50 ส่วน จะเห็นว่ารถไฟฟ้าก็เกิด loss พลังงานไปเยอะ สุดท้ายแล้วมันทำให้มีการใช้พลังงานมากเหลือเกิน

ถ้าอยากประหยัด พลังงานจริงๆ ลดการปล่อย Co2 ใช้รถธรรมดานี่แหละ โยนของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ เติมลมยางให้พอดี เป่ากรองอากาศ อย่าขับรถเร็ว อย่าเหยียบเบรคบ่อยๆ อย่าเร่งแรงๆออกตัวแรงๆ อย่าใส่ยางหน้ากว้าง เท่านี้แหละคุณช่วยโลกได้มากกว่าใช้รถ hybrid อีก

มาทำเจลล้างมือกันเถอะ



ช่วงนี้เจลล้างมือราคาแพง มาทำเองก็ได้ ง่ายจริงๆ

สูตรจาก link http://www.archeep.com/invention/prd_oct_08.html

นี่เป็นอีกสูตรของ

ส่วนผสม

1. CARBOPOL ULTREZ 5 กรัม
WATER 470 กรัม

2. TRIETHANOLAMINE 5 กรัม

3. ALCOHOL 500 กรัม
GLYCERINE 5 กรัม

4. กลิ่น BABY JOUICE 1 กรัม
CREMOPHOR RH-40 10 กรัม
TEA TREE OIL 10 กรัม

วิธีทำ

1. ผสม CARBOPOL ULTREZ WATER แล้วกวนจนเข้ากัน
2. ใส่ TRIETHANOLAMINE ลงไปกวนจนเข้ากัน
3. ผสม ALCOHOL GLYCERINE แล้วเทลงใน ส่วนผสมตามข้อ 2 จากนั้นกวนจนเข้ากัน
4. ผสม กลิ่นแล้วกวนจนเข้ากันแล้วจึงบรรจุใส่ภาชนะ