Friday, May 20, 2011

การพยากรณ์อากาศ กับความสำคัญต่อเกษตรกร และการวางแผนธุรกิจ

ทุกวันนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก บางปีอย่าง 52-53 เป็น El Nino อากาศร้อนจัดฝนตกน้อย น้ำไม่พอกับการเกษตร อย่างปี 53-54 เป็นช่วง La Nina ฝนตกมากกว่าปกติ หนาวมากกว่าปกติ ทำให้คนกทมได้หนาวระดับ 14-15 องศาตั้งหลายวัน อากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ทำให้กระทบต่อเกษตรกร ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมาก

ที่ทำงานผมขายเมล็ดพันธุ์พืชให้เกษตรนำไปปลูก ดังนั้นสภาพอากาศจึงมีผลต่อการทำธุรกิจมาก การจะวางแผนธุรกิจในแต่ละปี หรือการกำหนดเป้าการขาย ที่ผ่านมาไม่มีการนำเอาปัจจัยเรื่องดินฟ้าอากาศมาประกอบ ทำให้การตั้งเป้ายอดขายผิดพลาดได้ เพราะถ้าฝนมากไปก็ปลูกเมล็ดพันธุ์ไม่ได้ ทำให้ขายของไม่ได้ การรู้สภาพอากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายๆเดือน จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการวางเป้าการขาย

ด้วยเหตุนี้เองผมจึงเป็นคนแรกที่ริเริ่มศึกษาสภาพอากาศล่วงหน้า ุ6 เดือน และนำข้อมูลที่ได้มาแจ้งเตือนกับฝ่ายขาย และฝ่ายผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อจำหน่าย ในทุกประเทศว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร จะได้เตรียมตัวรับมือได้ถูกต้อง ทำให้การวางแผนผลิตเมล็ดพันธุ์และแผนการขายได้แม่นยำขึ้น

จากความรู้เรื่องสภาพอากาศล่วงหน้านี้ ทางพนักงานขายของเราก็สามารถนำไปบอกกับตัวแทนจำหน่ายของเรา เพื่อเตือนให้เกษตรกรทราบล่วงหน้า จะได้เตรียมวางแผนการเพาะปลูก และลดการสูญเสียจากสภาพอากาศให้น้อยที่สุด เรื่องนี้น่าแปลกใจว่าในเมืองไทยยังมีคนสนใจน้อยมาก แม้กระทั่งหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเกษตรก็ไม่มีใครคอยออกมาเตือนเกษตรล่วงหน้าเลย

สำหรับสภาพอากาศ ณ วันที่ 20 พค 54 ผลการสำรวจจากหน่วยงานศึกษาสภาพอากาศในหลายประเทศ เตือนตรงกันว่า
อุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิคเริ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 4เดือนที่ผ่านมา (จากเดิมที่เย็นกว่าค่าเฉลี่ย 1-2.5 องศา) ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลมาอยู่บริเวณค่าเฉลี่ย และมีผลทำให้สภาพ La Na(ฝนตกมากกว่าปกติ อากาศเย็นกว่าปกติ ทำให้หน้าร้อนปี 54 ไม่ร้อนเท่าที่ควร)อ่อนกำลังลง และสภาพอากาศจะเข้าสู่สภาวะ neutral คือกลับเข้าสู่สภาพอากาศปกติอย่างที่ควรจะเป็นในทุกประเทศโดยเริ่มตั้งแต่เดือน มิย 54 เป็นต้นไป และจะอยู่ในสภาวะปกตินี้ไปจนถึงสิ้นปี 54 เรายังดูอยู่ว่าอากาศในปี 55 จะเป็นอย่างไร ซึ่งต้องรอต่อไป การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าโดยการคำนวนทางคอมพิวเตอร์จะบอกล่วงหน้าได้แค่ 6 เดือนเท่านั้น ผมจะคอยมาบอกไว้เป็นระยะว่าจะเป็นอย่างไร

แต่สำหรับที่ทำงานผมตอนนี้ผู้บริหารหลายๆคนในหลายประเทศเริ่มเห็นความจำเป็นของการรู้สภาพอากาศล่วงหน้าแล้ว และนำมาประกอบการวางแผนตั้งเป้าการขายในแต่ละปี ประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียซึงโดนผลกระทบหนักจาก La Nina มากจนขายของได้น้อยลงมาก ก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและรู้ว่าผลกระทบจากฝนจะหมดเมื่อไร ทำให้วางแผนการขายได้ดีขึ้น

ถึงเวลาหรือยังที่หน่วยงานภาครัฐ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรจะหันมาสนใจข้อมูลสภาพอากาศล่วงหน้ากันมากขึ้น

ใครสนใจเพิ่มเติม ลองไปอ่านที่ http://www.bom.gov.au/climate/enso/
แล้วจะเข้าใจมากขึ้น