Thursday, October 29, 2009

CIO, IT Director, IT Manager มีหน้าที่อะไร

คำถามยอดนิยมเวลาสัมภาษณ์งานสำหรับตำแหน่งผู้นำของแผนก IT ก็คือ คุณคิดว่า CIO , IT manager, IT director เขามีหน้าที่อะไร

นี่เป็นคำถามที่ง่าย แต่คนตอบเหนื่อยเพราะต้องอธิบายกันยืดยาวและใช้เวลาตอบนานมาก ใช้เป็นคำถามวัดกึ๋นของผู้สมัครได้เลยว่าทำงานในตำแหน่งบริหารแผนก IT มานานแค่ไหน รู้บทบาทของงานนี้จริงๆหรือไม่

ในมุมมองของผม ตำแหน่งระดับ CIO, IT director พวกนี้ข้ามผ่านงานระดับ operation มาแล้ว เขาผ่านงานITระดับต้น ถึงระดับกลางมาอย่างโชกโชน อย่างน้อยก็กว่า 15 ปีล่ะ ตอนนี้ก็จะเริ่มๆไต่ขึ้นระดับสูงแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไต่ขึ้นระดับสูงกันได้หมด จะขึ้นระดับสูงได้อย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติดังนี้

- คิดเป็น แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ต้องคิดมาก และคิดเป็น คิดลงลึกและคิดในแนวกว้าง ต้องคิดดักหน้าคนอื่นไป 2-3 ก้าว

- เป็นผู้นำคนได้ ตำแหน่ง CIO, IT director ต้องนำคนจำนวนมากอยู่แล้ว ทักษะในการเป็นผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นคนสั่งการทุกอย่างเสมอไป นั่นมัน ผจก รุ่นโบราณแล้ว ผจก รุ่้นใหม่นี่จะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำ นำทางให้คนอื่นเดินตาม ต้ิองให้ผู้ตามมีส่วนร่วมแสดงความเห็นในการกำหนดทิศทางของแผนก และคอยอธิบายให้เขาฟังเมื่อเห็นว่าแนวคิดบางอย่างของเขายังไม่ถูกต้อง ถ้าทำอย่างนี้ไปบ่อยๆ นานๆเข้าลูกน้องคุณจะเก่งขึ้นมาเอง ส่วนจะเก่งมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน

- คัดคนเป็น หัวหน้าที่ดีต้องรู้จักวิธีสัมภาษณ์คน อ่านคนให้ออก และเลือกคนที่มีศักยภาพจริงๆออกมาให้ได้ ข้อนี้พูดง่าย แต่ทำยากครับ เพราะการที่จะสัมภาษณ์คนได้เก่งๆ มองคนให้ิิออกจากการคุยกันแค่ 20-30 นาทีนี่คนสัมภาษณ์ต้องชำนาญและสัมภาษณ์คนมาเยอะ ตัวผมเองก็สัมภาษณ์คนมาเป็นหลักหลายร้อยคน กว่าจะจับทางออกว่าทำอย่างไรเราถึงจะคัดคนที่น่าสนใจออกมาจากการสัมภาษณ์ได้นี่ก็ต้องลองผิดลองถูกมาเยอะ

- ฝึกลูกน้องให้เก่ง อันนี้สำคัญสำหรับองค์กรสมัยใหม่ที่เน้นการสร้างคน และเน้นการทำงานเป็นทีม การทำงานสมัยนี้หมดยุคข้ามาคนเดียว เก่งคนเดียวไปนานแล้ว องค์กรสมัยใหม่เน้นให้มีขนาดเล็ก มีคนน้อย แต่ทำงานมาก คนแต่ละคนทำงานหลายอย่าง แถมทำงานทดแทนกันได้ในยามจำเป็นด้วย หน้าที่หลักของหัวหน้าคือสร้างคนให้เก่งขึ้นมาช่วยแบ่งเบาภาระของตน และสร้างคนเก่งๆให้องค์กร บริษัทใหญ่ๆเขาจะเน้นมากเรื่องต้องสร้างลูกน้องที่จะทำหน้าที่ผู้สืบทอดจากตัวหัวหน้าให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป ในหลายองค์กรเราพบว่าบรรดาลูกน้องจำนวนมากในแผนกยังมือไม่ถึง และห่างชั้นจากตัวหัวหน้าอยู่หลายขุม เมื่อถึงคราที่หัวหน้าลาออกไป หรือโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ลูกน้องเดิมก็ไม่สามารถทดแทนได้ สุดท้ายก็ต้องรับคนนอกเข้ามาแทน

- สื่อสารกับคนรอบตัวทั้งระดับเดียวกัน ระดับสูงกว่าและระดับที่ต่ำกว่าได้ดี มีทักษะในการพูด

- อ่านใจนายออก ข้อนี้สำคัญ คุณทำงานมาถึงระดับนี้แล้ว คงไม่ต้องให้นายมาคอยบอกไปทุกเรื่องว่าต้องการอะไร จะต้องทำอย่างไร คุณต้องมองให้ออกว่าเราควรจะต้องทำอะไรแล้วนำเรื่องไปปรึกษากับเจ้านาย ถ้าได้รับไฟเขียวก็ลุยได้เลย อย่าลืมว่าเราต้อง proactive ไม่ใช่ reactive

- ผ่านประสบการณ์ IT มาทั้ง hardware, software, network ถึงแม้ว่าในระดับนี้คุณไม่ต้องลงมือทำงานระดับ operation เองแล้ว แต่คุณต้องผ่านงานเหล่านี้มา เพื่อจะสามารถแนะแนวทางการทำงานให้ลูกน้องได้ และรู้ด้วยว่าลูกน้องของคุณกำลังมั่วอยู่หรือเปล่า

- วางงบและควบคุมงบประมาณแผนก IT ได้อย่างเชี่ยวชาญ หลังจากที่ผมทำงานคุมงบมาหลายปี ผ่านมาทุกรูปแบบ จนตอนนี้มองภาพออกแล้วว่า IT director หรือ CIO นั้นต้องอ่านงบ IT ได้อย่างชำนาญ มองออกเลยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน และจะหั่นงบตรงไหนดี งานหลักอย่างหนึ่งของตำแหน่งนี้คือหั่นงบส่วนเกินทิ้ง ในขณะเดียวกันก็ต้องดูให้แน่ใจว่ามีงบอย่างเพียงพอที่จะทำงานที่สำคัญให้ลุล่วง

- เจรจาต่อรองเก่ง ในตำแหน่งนี้คุณต้องเจรจาต่อรองกับคนจำนวนมาก ทั้งในหน่วยงาน IT ด้วยกัน นอกหน่วยงาน IT หรือคนจากบริษัทอื่น เจรจาอย่างไรคุณจึงจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ และคู่เจรจาก็ยังรู้สึกดีและยินดีทำตามสิ่งที่ตกลงกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยากครับ บางครั้งมันก็ไม่สำเร็จอย่างสวยงามเสมอไป

- ปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว โลกสมัยใหม่นี่ธุรกิจปรับตัวเร็ว ชาว IT ยิ่งต้องปรับตัวได้เร็วกว่า ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรับมือกับสถานการณ์ฺต่างๆได้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ตำแหน่งนี้ต้องมี

- บริหารจัดการ vendor ได้ดี อันนี้สามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาล ทั้งได้ราคาพิเศษ ได้รับรู้เทคโนโลยีใหม่เป็นคนแรก ได้เงื่อนไขพิเศษจากการต่อรองกับ vendor

- มองการณ์ไกล ต้องมองไปข้างหน้าให้ได้ 3-5 ปี ไม่ต้องนานขนาด 10ปีหรอก โลกสมัยนี้มันก้าวไปเร็ว และเปลี่ยนเร็วมาก มองไปข้างหน้าได้ 3 ปีผมว่าก็เก่งแล้ว

- หลักการคิดดี รู้จักคิด และรู้จักตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ คนที่อยู่ระดับนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดหรือรู้ลึกในทุกๆเรื่อง โดยทั่วไปเขาจะรู้หลักการกว้างๆ รู้ business process ของหน่วยงานต่างๆในบริษัทดี เมื่ออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงลึกก็เข้าไปถามคนที่เกี่ยวข้อง

- นำเสนอแนวคิดและหลักการได้ดี ขายแนวคิดให้คนอื่นยอมรับและนำไปปฏิบัติได้

- เป็นนักฝัน...... คนระดับนี้ต้องฝันให้ไกลและไปให้ถึง เขาต้องมองภาพงานของแผนก IT ในอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงกำหนดแผนยุทธวิธีที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ จากแผนยุทธวิธีก็เอามากำหนดเป็นแผนปฏิบัติงานในแต่ละปีเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาว

- ตามทันโลก, CIO, IT director ที่ดีต้องตามทันโลกว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว คู่แข่งเขาใช้ IT อย่างไรให้เกิดความได้เปรียบทางธุรกิจ คนที่จะทำงานตรงนี้ต้องเป็นนักอ่านตัวยง อ่านทั้งจากเว็บ จากนิตยสาร จากหนังสื่อพิมพฺ์ต่างๆ

- รู้จักธุรกิจที่ตัวเองกำลังทำอยู่ดี นี่เป็นกฏสำคัญข้อแรกเลยก็ว่าได้ ถ้า CIO ไม่รู้จักธุรกิจของบริษัทตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เข้าใจ business process โดยรวมของทั้งองค์กรแล้ว เขาจะไม่สามารถกำหนดแผนงาน IT ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรได้ ผมเคยอ่านเจอว่าเมื่อ Starbuck รับ CIO คนใหม่เข้ามาทำงาน งานแรกของเขาคือไปเป็นพนักงานขายกาแฟอยู่หน้าร้านก่อน 10-15 วัน เพื่อให้เข้าใจธุรกิจ ก่อนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ CIO ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เป็นอย่างมาก ถ้า CIO คนไหนเอาแต่นั่งฝันหรือควบคุมงานทั้งหมดจากสำนักงานใหญ่ โดยไม่ไปคลุกคลีพบปะกับลูกค้าเลย ผมว่า CIO คนนั้นยากที่จะกำหนดทิศทางของแผนก IT ให้สอดคล้ิองกับเป้าหมายของธุรกิจ และใช้ IT เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ

- รู้จักการเมืองในที่ทำงาน เข้าใจว่าการเมืองเป็นอย่างไร อ่านเกมส์ออก แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเล่นการเมืองในที่ทำงานกับเขาด้วยล่ะ ที่ต้องรู้ก็เพื่อจะสามารถเอาตัวรอดได้ในที่ทำงาน และสามารถผลักดันงานของแผนก IT ให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยใช้การเมืองเข้ามาเสริม คุณต้องรู้ว่าต้องพูดเรื่องไหนกับใคร และใครจะช่วยคุณผลักดันเรื่องต่างๆได้ ถ้าจะให้ดีคุณต้องสามารถสลายขั้วทางการเมืองในออฟฟิศให้ได้ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆเลย

ที่ผ่านมาผมสัมภาษณ์ IT manager จากหลายๆประเทศมาก็มาก ยังหาคนที่ตอบได้ครบๆแบบถูกใจเลยยังไม่มีจริงๆ ไอ้ที่ผมบอกมาข้างต้นนั่นก็ไม่ใช่จะครบทุกเรื่องนะ แต่เรื่องหลักๆก็คงครบล่ะ

หลังจากร่ายมายาว ตกลงผมตอบคำถามได้เป็นที่พอใจหรือยังว่า CIO, IT Director, IT manager เขาทำอะไร

Monday, October 26, 2009

แนวโน้มใหม่ของ IT ในวันนี้

สำหรับชาว IT ยุคนี้ใครไม่รู้จัก VMWARE คงเชยมากๆ นี่เป็นแนวโน้มใหม่ที่บริษัทใหญ่ๆที่มี server หลายๆตัวนิยมทำกัน ถ้าคุณยังไม่ได้ทำละ่ก็ ลองหาเวลาศึกษาดู เจ้า VMWARE มันจะทำให้ server เพียงตัวเดียว สามารถสร้างเครื่องเสมือน(virtual machine) ขึ้นมาได้หลายๆเครื่องภายใต้ server จริงๆแค่ตัวเดียว ซึ่งมันทำให้

ประหยัดค่าเครื่อง server ไปเยอะ
ประหยัดค่าไฟฟ้าที่จ่ายให้ server
ประหยัดค่าแอร์ และค่าไฟเปิดแอร์
ประหยัดค่าบำรุงรักษา server ไปได้เยอะ
admin ก็ทำงานน้อยลง เพราะมีเครื่องจริงๆ แค่เครื่องเดียว
เป็นการใช้ทรัพยากรในเครื่อง อย่างคุ้มค่า เพราะ server ส่วนใหญ่แรงๆทั้งนั้น เอามาทำงานเพียงงานเดียวจะพบว่ามันจะอยู่ว่างๆเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้ามาทำ VMWARE จำลองเป็นหลายๆเครื่อง มันก็จะใช้ทรัพยากรในเครื่องได้อย่างคุ้มค่า
ลดค่าลิขสิทธิ์ OS ด้วย เพราะเขาคิดเงินตาม จำนวน CPU ที่มีอยู่จริง ไม่ได้คิดตามจำนวนเครื่องเสมือน

ข้อเสีย
มีเครื่องจริงแค่ 1 เครื่อง เวลามันพังขึ้นมา เครื่องเสมือนทุกตัวก็ตายพร้อมกัน ดังนั้นถ้างานของคุณสำคัญชนิดหยุดไม่ได้จริงๆ ต้องพิจารณาทำ server redundant โดยใช้ server อย่างน้อย 2 ตัวทำงานร่วมกัน ถ้าตัวหนึ่งร่วงไป อีกตัวหนึ่งจะเข้ามาแทนที่ทันที เครื่องที่ใช้ควรจะเป็นเครื่องมียี่ห้อสักหน่อย พวก dell ibm hp ก็ได้ ราคาก็ไม่แพงนัก ของเขาดีจริงๆ มาพร้อมกับรับประกัน 3 ปีเต็ม แต่ถ้าอยากให้มั่นใจก็ซื้อประกันเพิ่มเป็น 7วัน*24 ชั่วโมง ตอบกลับใน 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับป้องกันสูงสุดที่มี ถ้ามีปัญหา โทรเรียกเขาก็จะมาเลย

จริงๆแล้ว VMWARE ยังมีประเด็นเรื่องการบริการจัดการเน็ตเวิร์ค การรักษาึความปลอดภัยในระบบอีก แต่ไว้ค่อยพูดวันหลังแล้วกัน เรื่องมันยาวมาก

เอาเป็นว่า ถ้าคุณมี server หลายๆตัว น่าจะหันมามอง VMWARE กันบ้าง มันเยี่ยมจริงๆ

การเติมน้ำยาแอร์รถยนตร์ให้เย็นจัด

มีคนถามมาว่าจะเติมน้ำยาแอร์รถยนตร์อย่างไรให้เย็นจัดจนเป็นฝ้าเกาะกระจกเลย วิธีมีไม่ยาก

1.ถ้าแผงคอยล์ร้อนไม่เคยล้างมาเป็นปีแล้ว เอาน้ำยาอปาเช่ สีเหลือง สำหรับล้างคอยล์ร้อน มาฉีดล้างแผงให้ทั่ว ฉีดน้ำเปล่าให้ชุ่มก่อน แล้วฉีดอาปาเช่ให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาทีจนมันเป็นฟองขาวๆฟู่ขึ้นมาเต็มไปหมดก็ใช้น้ำแรงๆฉีดล้างให้สะอาดหมดจด น้ำยามันแรงอยู่ อย่าแช่ไว้นานๆมันจะกัดแผงคอยล์ร้อน

2.ตอนที่เครื่องยนตร์ดีับอยู่ จัดการแวคเพื่อดูดอากาศออกจจากระบบแอร์ให้หมด จากนั้นเติมน้ำยา จะ R12, หรือ R134ก็แล้วแต่รถของคุณ สูตรของพี่ช่างแอร์ตัวจริงที่อยู่บางบ่อ(ตายไปแล้ว)จะคว่ำถังเติมเป็นของเหลว เจิมช้าๆจนน้ำยาเข้าไปเกือบเต็มระบบ แล้ววางถังลง ปิดวาล์น้ำยา ติดเครื่องยนตร์ วางเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิไว้ที่ช่องลมออก เปิดพัดลมแอร์สุด ตั้งเทอร์โมสุด เพื่อให้แอร์เดินเต็มที่ ทิ้งไว้สัก 10 นาทีระหว่างนี้ก็ดูว่าเทอร์โมวัดอุณหภูมิได้กี่องศา มันต้องค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ อาจจะไปสุดที่ 13 14 หรือ 15 องศา

3. วางถังตามปกติ จากนี้จะเติมน้ำยาแบบเป็นไอ ค่อยๆเปิดให้น้ำยาเข้าไปอีกช้าๆ เปิดสัก 10 วิ แล้วปิด แล้วรอ 2นาทีดูว่าเทอร์โมลดลงอีกไหม ถ้าลดลงอีก ก็ปล่อยน้ำยาเข้าไปอีก 10 วิ รอดูอุณหภูมิอีกครั้ง ทำไปเรื่อยๆจนมันไม่ลดลงอีกแล้ว อาจจะใช้เวลา 30-40 นาทีเฉพาะช่วงนี้ ระหว่างเติมน้ำยาต้องดูแรงดันฝั่ง lo กับฝั่ง hi อย่าให้สูงเกินไปล่ะ ถ้าฝั่ง hi สูงไป ให้ดูที่แผงคอยล์ร้อนได้เลย สกปรกแน่ๆ ระบายความร้อนไม่ออก ดูที่ตาแมวด้วยว่าต้องมีฟองเหลือนิดๆ เกือบๆใสปิ๊ง

4. ถ้าเติมน้ำยาเกินไป จะพบว่าอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ จะเริ่มตีกลับสูงขึ้นมาอีก ถ้าถึงจุดนี้ให้ปล่อยน้ำยาออกนิดหนึ่งก็จะพอดี

จำไว้ว่าถ้าน้ำยาแอร์รั่ว ต้องซ่อมรอยรั่วให้เสร็จและเติมน้ำมันคอมไปชดเชยส่วนที่รั่วไปด้วย ไม่งั้นน้ำมันคอมขาดมากๆคอมก็เสียงดังและพังในที่สุด

น้ำมันคอมแอร์ดูดความชื้นได้ดีมาก เมื่อใช้แล้วให้ปิดผนึกกันความชื้นอย่างดี อย่าเก็บไว้นาน

ถ้าจะเติมน้ำมันคอมเพิ่มโดยที่ไม่ต้องการถ่ายน้ำยาแอร์ออกก่อน ให้ใช้น้ำมันคอมของ coolman ที่เขาอัดน้ำยาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเติมเข้าไปในระบบแอร์ที่มีน้ำยาอยู่แล้วได้เลย ฉีดเข้าไปสัก 5 วินาทีแล้วฟังเสียงคอมแอร์ดู ถ้าเสียงเงียบก็ใช้ได้ ถ้ายังไม่เงียบก็ฉีดเข้าไปอีก 5 วินาีที แต่อย่าฉีดเกิน แอร์จะไม่เย็น คอมแอร์จะต้องการน้ำมันคอมประมาณ 120-150 ซีซีหรือประมาณ 1 ขวดกระทิงแดงเท่านั้น

อย่าลืมดูน้ำมันคอมแอร์ให้ตรงกับชนิดของน้ำยาแอร์ที่ใช้ น้ำยา R12 ใช้น้ำมันคอมแบบ mineral แต่ R134 ใช้น้ำมันคอมแบบสังเคราะห์ บอกร้านที่ซื้อให้ชัดเจน

ตัว dryer ให้ใช้ของแท้ หรือของ denso coolgear ที่มีคุณภาพดี ดูดความชื้นได้เยอะ อย่าใช้แบบถูกๆที่ไม่ค่อยดี อะหลั่ยทุกอย่างเล่นของ denso coolgear ราคาไม่แพง คุณภาพดีมาก

ระวังน้ำยาคุณภาพต่ำ มีความชื้นสูง เติมไปแล้วแอร์เย็นน้อย หาแหล่งซื้อน้ำยาที่เชื่อใจได้ ถ้าทำบ่อยๆ หรือทำให้เพื่อนด้วย ซื้อแบบมียี่ห้อยกถังเลยจะดีกว่า

ถ้าสายน้ำยาแอร์รั่วตรงหัวต่อ ผมเคยย้ำสายแล้ว มันอยู่ได้ 6 เดือนก็รั่วอีก ซื้อสายใหม่เลยดีกว่า ใช้ได้นานหลายๆปี

นึกออกแค่นี้ล่ะ สงสัยอะไรก็ถามมาได้

Monday, October 19, 2009

แหล่งรวมความรู้เรื่ิองแอร์รถ แอร์บ้าน

ตามมาอ่านที่ link นี้ได้เลยครับ คนเก่งๆเรื่องแอร์หลายคนรวมตัวกันที่นี่ สงสัยอะไรถามได้เลย
ใครอ่านครบทุกหน้า 153 หน้าก็รู้เรื่องแอร์หมดเลย
http://rcw.ms/forums/showthread.php?t=88171&page=153

Wednesday, October 7, 2009

จะซื้อแอร์ที่ใช้น้ำยาตัวเก่า R22 หรือตัวใหม่ R410 ดี

หลายคนถามมาว่าตอนนี้แอร์รุ่นใหม่หลายยี่ห้อมีให้เลือกว่าจะเอาน้ำยาแอร์ตัวใหม่ R410 หรือน้ำยาตัวเก่า R22

น้ำยา R410
แรงดันน้ำยาสูงกว่า R22 เกือบ 2 เท่า
ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศน้อยกว่า R22 มาก
ราคาน้ำยาแพงเพราะเป็นของใหม่ ช่างแอร์ทั่วไปยังไม่มี เติมน้ำยาจากศูนย์บริการเห็นว่า 3000 บาท
ช่างทั่วไปซ่อมไม่เก่ง หรือซ่อมไม่ได้ เพราะต้องซื้อเครื่องมือวัดน้ำยาใหม่
คนยังใช้น้ำยาตัวนี้น้อย ราคาเลยแพง
แอร์มีราคาแพงกว่าเดิม เพราะต้ิองออกแบบระบบใหม่ทั้งหมดให้รับแรงดันน้ำยาที่สูงขึ้นได้
ประหยัดไฟเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก 5-10% แต่ราคาแพงขึ้นเยอะ


น้ำยา R22
แรงดันน้ำยาประมาณ 70-80 psi ต่ำกว่า R410
ทำลายชั้นโอโซนมากกว่า R410 แต่อย่าลืมว่าแอร์เป็นระบบปิด น้ำยาไม่รั่วไปไหน ใช้ไป 10 ปีน้ำยาก็อยู่ในระบบเท่าเดิม ถ้าทำการซ่อมบำรุงถูกต้อง น้ำยาก็จะไม่รั่วออกไปทำลายชั้นบรรยากาศ
น้ำยาราคากิโลละ 80 บาท อย่างดีก็ไม่เกินกิโลละ 150 บาท
ช่างทั่วไปให้บริการได้ มีความชำนาญเพราะทำกับตัวนี้มาตลอด
แอร์ราคาถูกกว่าตัวที่ใช้น้ำยา R410
การประหยัดก็ได้เบอร์ 5 อยูแล้ว ประหยัดไฟมาก
น้ำยา R22 จะถูกเลิกใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเราจะมีน้ำยา R22 สำหรับใช้ซ่อมบำรุงแอร์ไปอีกอย่างน้อย 10-15 ปีข้างหน้า ก็นานจนแอร์หมดอายุใช้งานนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาน้ำยามาเติมไม่ได้

สำหรับตัวผม ถ้าจะซื้อแอร์ในปี 52-53 ผมยังซื้อแบบที่ใช้ R22 ครับ เพราะค่าใช้จ่ายโดยรวมยังต่ำกว่า R410 มาก และด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องก็จะไม่มีน้ำยารั่วออกไปทำลายชั้นโอโซน

ลองดูราคาแอร์ไดกิ้น inverter ราคารวมค่าติดตั้งแล้ว เป็นราคาลดลงเนื่องจากปรับภาษีใหม่แล้ว ลดไป 2พันกว่า

รุ่นใช้ R22 FTKD18GV2S/RKD18GV2S....inverter#5...17,700 btu...28,600 baht

รุ่นใช้ R410 FTKS18GV2S.............inverter#5...17,700 btu...34,800 baht